การป้องกัน ไวรัสตับอักเสบ บีวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงและป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ได้แก่
รับวัคซีนป้องกัน การรับวัคซีนป้องกันสามารถช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี รวมไปถึงโรคอันตรายต่าง ๆ ที่อาจตามมาหลังการติดเชื้อ เช่น มะเร็งตับและตับแข็ง ซึ่งการได้รับวัคซีนจะช่วยให้มีภูมิต้านทานในระยะยาวหรืออาจถึงตลอดชีวิตได้
ในเด็ก ปกติควรได้รับวัคซีนตับอักเสบ บี 3 เข็ม เข็มที่ 1 เมื่อแรกเกิด เข็มที่ 2 เมื่ออายุ 1-2 เดือน และเข็มที่ 3 เมื่ออายุ 6-18 เดือน
วัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนนั้นมีความเสี่ยงจะได้รับเชื้อ ควรได้รับวัคซีนด้วย
ป้องกันทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์ เช่น การสวมถุงยางอนามัย
ระมัดระวังตัวเองเมื่อต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะ
ใส่ถุงมือเวลาที่ต้องสัมผัส หรือต้องทำความสะอาดสารคัดหลั่งจากร่างกาย เช่น ผ้าพันแผล ผ้าอนามัย หรือเสื้อผ้า
ควรปิดบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือในผู้ที่เป็นพาหะ เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่ไปสู่ผู้อื่น
ไม่ควรใช้มีดโกน แปรงสีฟัน ที่ตัดเล็บ หรือต่างหู ร่วมกับผู้อื่น เพราะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย
ระมัดระวังหากจะเจาะหู หรือสักลาย ต้องแน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ทางร้านใช้สะอาด ฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้
หากพบว่าตัวเองมีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะการได้รับการรักษาป้องกันอย่างทันท่วงทีภายใน 24 ชั่วโมงจะช่วยลดความเสี่ยงของในการติดเชื้อและอาการอื่น ๆ ที่ตามมาได้
การวินิจฉัย ไวรัสตับอักเสบ บี
การวินิจฉัยที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเบื้องต้น คือการสังเกตอาการและสัญญาณต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของร่างกายตามที่ได้กล่าวไปในข้างต้น
ในกรณีที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นไวรัสตับอักเสบ บี จากการปรึกษาแพทย์ และมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรค แพทย์จะสามารถทำการวินิจฉัยได้ คือ
- ตรวจเลือด แพทย์จะพิจารณาให้มีการตรวจเลือดหาค่าการทำงานของตับ ซึ่งการตรวจเลือดทำให้บ่งชี้ได้ว่ามีไวรัสตับอักเสบชนิดนี้อยู่หรือไม่ และทำให้รู้ได้ว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ บี ระยะเฉียบพลันหรือระยะเรื้อรัง
- ตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) วิธีนี้จะใช้เฉพาะในผู้ป่วยระยะเรื้อรังที่ต้องดูความเป็นไปของโรค โดยแพทย์จะใช้เข็มแทงผ่านเข้าไปทางผิวหนังเพื่อเก็บชิ้นเนื้อจากตับเพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ว่าตับได้ถูกทำลายหรือไม่