เลือกวิธีจัดฟันเด็ก ให้เหมาะกับฟันของลูกหลายคนอาจมีความเข้าใจว่าการจัดฟันนั้นจะต้องเริ่มทำตั้งแต่วัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมหลุดออกและมีฟันแท้ขึ้นมา แต่ที่จริงแล้วการจัดฟันนั้นสามารถทำได้ตั้งแต่เป็นเด็ก และวันนี้เราจะมาแนะนำการจัดฟันแต่ละประเภทว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง
เด็กสามารถจัดฟันได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่
โดยทั่วไปคุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกน้อยไปจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 6-7 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่หากตรวจพบปัญหาช่องปากเมื่อไหร่ก็สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าฟันช่วงวัยรุ่นนั่นเอง
ปัญหาฟันแบบไหนบ้างที่ควรจัดฟัน
ฟันหน้ายื่นผิดปกติซึ่งเสี่ยงต่อการได้รับอุบัติเหตุง่ายขึ้น
คางยื่น
ฟันเก
ฟันซ้อน
ฟันห่าง
ฟันสบกันผิดปกติ
นอนหายใจทางปาก
เด็กติดการดูดนิ้วหรือใช้ลิ้นดุนฟันเป็นประจำ
ฟันน้ำนมหลุดเร็วเกินไปหรือหลุดช้ากว่าปกติ
เด็กกลืนอาหารผิดปกติ สังเกตจากการไอหรือลำลัก รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองขณะกลืน
เด็กควรจัดฟันแบบไหนดี?
เด็กสามารถจัดฟันได้เหมือนผู้ใหญ่ ได้แก่ การจัดฟันแบบโลหะ การจัดฟันแบบเซรามิก การจัดฟันแบบดามอนและการจัดฟันใส
1. การจัดฟันแบบโลหะ (การจัดฟันแบบยางสี)
เป็นวิธีจัดฟันโดยหมอฟันเด็กจะใช้ยางรัดลวดจัดฟันให้ติดกับอุปกรณ์ติดแน่นบนฟันที่เรียกว่า แบร็กเก็ต ซึ่งเป็นโลหะสีเงินในการทำหน้าที่ดึงฟันให้เคลื่อนไปยังตำแหน่งที่หมอฟันเด็กต้องการ
2. การจัดฟันแบบเซรามิก
เป็นวิธีจัดฟันโดยหมอฟันเด็กจะใช้ยางรัดลวดจัดฟันให้ติดกับแบร็กเก็ตสีเหมือนฟัน ทำหน้าที่ดึงฟันให้เคลื่อนไปยังตำแหน่งที่หมอฟันเด็กต้องการ โดยยางที่ใช้ยังเป็นสีสดใสและลวดดัดฟันเป็นสีโลหะเงินเหมือนการจัดฟันแบบโลหะ
3. การจัดฟันแบบดามอน
เป็นวิธีจัดฟันด้วยเครื่องมือแบบ Damon ที่มี sliding bracket เป็นวัสดุติดบนผิวฟันกับการใช้ลวดจัดฟันชนิดพิเศษซึ่งจะช่วยเคลื่อนฟันด้วยแรงที่เบาและนุ่มนวล รวมถึงทำความสะอาดง่ายกว่าการจัดฟันแบบอื่น
4. การจัดฟันแบบใส
เป็นวิธีจัดฟันแบบไม่ต้องใช้เครื่องมือและลวดเหล็ก สามารถถอดออกมาทำความสะอาดเองได้ เป็นเครื่องมือจัดฟันที่ทำจากพลาสติกผิวเรียบใส ทำให้มองไม่ออกเลยว่าจัดฟันอยู่ การจัดฟันประเภทนี้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการวางแผนการรักษา โดยจะแสดงภาพ 3D ถึงการเคลื่อนของฟัน ทำให้คำนวนจำนวนชุดเครื่องมือจัดฟันแบบใสที่จะต้องใช้ได้
ขั้นตอนการจัดฟันแต่ละประเภท
1. การจัดฟันแบบโลหะ (การจัดฟันแบบยางสี)
หมอฟันเด็กนัดทำพิมพ์ปาก จากนั้นจึง X-ray ตรวจเช็คสภาพฟันเพื่อเคลียร์ช่องปาก
จากนั้นหมอฟันเด็กจะนัดติดเครื่องมือ และนัดปรับเครื่องมือเดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าจะเข้าที่ตามแผนการรักษา
เมื่อฟันเข้าที่เรียบร้อยแล้ว หมอฟันเด็กจะนัดถอดเครื่องมือจัดฟัน พร้อมกับพิมพ์ปากทำรีเทนเนอร์
2. การจัดฟันแบบเซรามิก
หมอฟันเด็กนัดทำพิมพ์ปาก จากนั้นจึง X-ray ตรวจเช็คสภาพฟันเพื่อเคลียร์ช่องปาก
จากนั้นหมอฟันเด็กจะนัดติดเครื่องมือ และนัดปรับเครื่องมือเดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าจะเข้าที่ตามแผนการรักษา
เมื่อฟันเข้าที่เรียบร้อยแล้ว หมอฟันเด็กจะนัดถอดเครื่องมือจัดฟัน พร้อมกับพิมพ์ปากทำรีเทนเนอร์
3. การจัดฟันแบบดามอน
หมอฟันเด็กนัดทำพิมพ์ปาก จากนั้นจึง X-ray ตรวจเช็คสภาพฟันเพื่อเคลียร์ช่องปาก
จากนั้นหมอฟันเด็กจะนัดติดเครื่องมือ และนัดปรับเครื่องมือทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อปรับลวดจัดฟัน
เมื่อจัดฟันเสร็จหมอฟันเด็กจะถอดเครื่องมือจัดฟัน และทำพิมพ์ฟันเพื่อทำรีเทรนเนอร์สำหรับคงสภาพฟัน ให้คนไข้ใส่ ป้องกันไม่ให้ฟันเคลื่อนกลับไปยังตำแหน่งเดิม
4. การจัดฟันแบบใส
หมอฟันเด็กจะถ่ายรูปช่องปากและใบหน้า จากนั้นจึง X-ray และพิมพ์แบบฟัน
หมอฟันเด็กจะนำแบบฟันส่งแล็บเพื่อผลิตชุดจัดฟัน
เมื่อได้ชุดจัดฟันเฉพาะบุคคลแล้ว หมอฟันเด็กจะนัดวันเพื่อใส่ชุดจัดฟัน โดยจะต้องใส่เครื่องมือวันละ 20-22 ชั่วโมง โดยจะต้องถอดออกเฉพาะเวลารับประทานอาหารและแปรงฟันเท่านั้น
หมอฟันเด็กจะนัดเปลี่ยนชุดใหม่ทุก 2 สัปดาห์ จนกว่าฟันจะเข้าที่ตามแผนการรักษา
จากนั้นหมอฟันเด็กจะนัดหมายเพื่อเช็คการเคลื่อนที่ของฟัน
เตรียมความพร้อมก่อนจัดฟันเด็ก
พักผ่อนให้เพียงพอ ทำใจให้สบาย
หากรู้สึกกังวลหมอฟันเด็กจะให้คำปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดฟัน
หมอฟันเด็กจะตรวจเช็คสุขภาพช่องปากโดยการให้เด็กทดสอบการกัดเพื่อดูความผิดปกติของการจัดฟัน
X-ray ฟันเด็กเพื่อวินิจฉัยปัญหาการจัดฟันของเด็ก
วิธีดูแลหลังการจัดฟัน
แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือแปรงทุกครั้งหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 30 นาที
ใช้ไหมขัดฟันและน้ำยาบ้วนปากทุกครั้งหลังการแปรงฟัน
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดหรือแข็งเกินไป เพื่ออาจทำให้ปวดฟัน
มาปรับเครื่องมือตามนัดของหมอฟันเด็ก
ใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน
พบหมอฟันเด็กเป็นประจำทุก 6 เดือน