แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 30
1
บริหารจัดการอาคาร: เลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยของเราเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีสมาชิกในบ้านที่ขี้ร้อนด้วย เครื่องปรับอากาศ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป้นเป็นอย่างมาก และคงจะต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยก็คือการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอ

เพื่อให้อยู่ทนอยู่นานให้คุณได้ใช้ประโยชน์ในระยะยาว จะได้ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่อยู่บ่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบัน แอร์อินเวอร์เตอร์ ก็เป็นระบบเครื่องปรับอากาศที่ยังคงมาแรง และแทบทุกบ้านในปัจจุบันนิยมติดตั้งเพื่อให้ความเย็นภายในบ้าน ซึ่งมีจุดเด่นคือ มอเตอร์ทำงานเงียบ เย็นเร็ว ประหยัดพลังงานด้วย เป็นระบบมอเตอร์กระแสตรง หรือคอมเพรสเซอร์แบบสวิง ไม่มีช่องว่างระหว่างแกนหมุน

ทำให้ลดแรงเสียดทานขณะหมุนได้ จึงช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างเต็มที่ เพราะคอมเพรสเซอร์สตาร์ทครั้งเดียวและจะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีลดรอบการทำงาน เมื่ออุณหภูมิคงที่ รอบคอมเพรสเซอร์จะต่ำ ส่งผลให้เสียงเงียบ และไม่มีเสียงสตาร์ทของตัวมอเตอร์ระหว่างการทำงาน แล้วเราจะเลือกแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์อย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้เราได้ประหยัดพลังงานมากที่สุด วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของระบบแอร์อินเวอร์เตอร์กับแอร์แบบทั่วไปก่อนว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งความแตกต่างของ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ และแอร์ทั่วไปคือ การทำงานของ ระบบ Inverter เมื่อเริ่มเปิดแอร์ อุณหภูมิของแอร์จะค่อย ๆ ลดลง จนถึงระดับที่ตั้งไว้ แล้วตัวคอมเพรสเซอร์จะปรับรอบการทำงาน เพื่อให้อุณหภูมิภายในห้องมีความคงที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะแตกต่างจากแอร์ทั่วไป ที่เมื่อเปิดแอร์แล้ว อุณหภูมิของแอร์จะลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา และเมื่อใช้งานได้สักระยะ ระบบคอมเพรสเซอร์แอร์จะตัดการทำงาน ส่งผลให้อุณภูมิค่อย ๆ ปรับระดับสูงขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา แล้วระบบคอมเพรสเซอร์จะเริ่มตัดอีกครั้ง

 ซึ่งการที่คอมเพรสเซอร์แอร์ตัดอยู่ตลอดเวลานั้นส่งผลให้อุณหภูมิภายในห้องไม่คงที่นั่นเอง สำหรับเคล็ดลับการเลือกใช้แอร์อินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมก็คือ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานตลอดเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องหลายชั่วโมง เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือต้องการห้องที่มีอุณหภูมิที่สม่ำเสมอและเงียบสงบ การใช้แอร์ที่ไม่มีอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องการความเย็นตลอดเวลา ประหยัด และมักนิยมใช้ขณะที่ต้องเข้ามาใช้ห้องเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น จะเห็นได้ว่าในระยะยาวระบบอินเวอร์เตอร์

ย่อมมีผลดีกว่าระบบเดิมๆ อย่างมากเพราะเป็นระบบที่มีเสียงเงียบ มีประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิได้คงที่มากกว่า อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา การทำความสะอาดด้วย ไม่ใช่เป็นที่ระบบแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น หากยังต้องการประหยัด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ให้สิ้นเปลือง
ตราบใดที่ยังคงใช้งานแอร์ระบบเดิมได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่า แอร์ อินเวอร์เตอร์จะมีข้อดีในการใช้งาน แต่ก็มีข้อเสียที่เราจะต้องศึกษาก่อนการเลือกซื้อ หรืออาจจะต้องปรึกษาช่างที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะด้วยระบบการทำงานภายในที่ซับซ้อน จึงทำให้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีราคาที่สูงกว่าแอร์ระบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป รวมถึงการดูแลบำรุงรักษาก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน

 อย่างไรก็ตาม ทางราอยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ เรายังมีบริการระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ระบบการจัดการน้ำ ระบบปรับอากาศ และหมุนเวียนอากาศ งานบำรุงรักษาโครงสร้างอาคาร ระบบป้องกันเพลิง รวมไปถึงระบบสื่อสาร และกล้องวงจรปิด เพื่อให้ลูกค้าได้มีความสะดวกสบายในการบำรุงรักษาระบบต่างๆภายในอาคารบ้านเรือน มั่นใจได้เลยว่า บริการของเรานั้น ดำเนินงานโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างแน่นอน

2
เลือกอย่างไร เมื่อต้องใช้ผ้ากันไฟ

การเลือกผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับการใช้งานนั้นต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เพื่อให้มั่นใจว่าผ้ากันไฟจะสามารถปกป้องคุณและทรัพย์สินของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีหลักเกณฑ์ในการเลือกดังนี้:

1. พิจารณาประเภทของวัสดุ

ผ้าใยแก้ว (Fiberglass):
เหมาะสำหรับงานทั่วไป เช่น ป้องกันสะเก็ดไฟจากการทำอาหาร หรือใช้คลุมอุปกรณ์ไฟฟ้า
ทนความร้อนได้ปานกลาง ราคาไม่แพง
อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ

ผ้าซิลิกา (Silica):
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการป้องกันความร้อนสูง เช่น ใช้คลุมเตาผิง หรือใช้ในห้องครัวที่มีความร้อนสูง
ทนความร้อนได้สูงมาก มีความทนทานสูง
ราคาแพงกว่าผ้าใยแก้ว

ผ้าเคฟลาร์ (Kevlar):
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น ใช้ทำชุดป้องกันไฟสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้ในรถยนต์
มีความแข็งแรงทนทานสูง ทนต่อการฉีกขาด ทนความร้อนได้ดี
ราคาแพง

2. พิจารณาลักษณะการใช้งาน

ห้องครัว:
หากคุณทำอาหารบ่อยครั้ง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดสะเก็ดไฟ ควรมีผ้ากันไฟใยแก้วหรือผ้าซิลิกาไว้ในครัว
ผ้ากันไฟสามารถใช้คลุมเตาแก๊ส หรือใช้เป็นผ้ากันเปื้อนกันไฟได้

ห้องนั่งเล่น:
หากคุณมีเตาผิง ควรมีผ้ากันไฟซิลิกาไว้ใกล้เตาผิง เพื่อป้องกันสะเก็ดไฟกระเด็น
หรือใช้ผ้ากันไฟเคฟลาร์ไว้ในรถยนต์เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน

ห้องนอน:
ใช้ผ้ากันไฟใยแก้วไว้ในห้องนอน เพื่อใช้คลุมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อนสูง เช่น เตารีด หรือเครื่องทำความร้อน

โรงงานอุตสาหกรรม:
ควรเลือกผ้ากันไฟที่มีคุณสมบัติที่แข็งแกร่งและทนทานเป็นพิเศษ เพื่อรองรับสภาพแวดล้อมที่อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดเพลิงไหม้

3. พิจารณาขนาดและรูปแบบ
ขนาด: เลือกขนาดผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้งาน
รูปแบบ: ผ้ากันไฟมีหลายรูปแบบ เช่น ผ้าผืน ผ้าห่ม หรือผ้ากันเปื้อน เลือกรูปแบบที่สะดวกต่อการใช้งาน

4. พิจารณาคุณสมบัติเพิ่มเติม
กันน้ำ: หากต้องการใช้ผ้ากันไฟในบริเวณที่มีความชื้น ควรเลือกผ้ากันไฟที่มีคุณสมบัติกันน้ำ
กันสารเคมี: หากต้องการใช้ผ้ากันไฟในบริเวณที่มีสารเคมี ควรเลือกผ้ากันไฟที่มีคุณสมบัติกันสารเคมี
การรับรองมาตรฐาน: ควรเลือกซื้อผ้ากันไฟที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น UL, FM หรือ NFPA

5. พิจารณาราคา
กำหนดงบประมาณในการซื้อผ้ากันไฟ และเลือกผ้ากันไฟที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม

คำแนะนำเพิ่มเติม
ควรมีผ้ากันไฟติดบ้านไว้อย่างน้อย 1 ผืน
ควรเก็บผ้ากันไฟไว้ในที่ที่เข้าถึงได้ง่าย
ควรฝึกซ้อมการใช้ผ้ากันไฟ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

3
สร้างรายได้จากข้าวผัดต้มยำ อาหารจานเดียวรสชาติจัดจ้าน

ข้าวผัดต้มยำเป็นอาหารไทยยอดนิยมที่ผสมผสานรสชาติจัดจ้านของต้มยำเข้ากับข้าวผัดหอมอร่อยได้อย่างลงตัว เมนูนี้มีหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์และรสชาติที่แตกต่างกันไปข้าวผัดต้มยำเป็นอาหารไทยรสชาติจัดจ้านที่ผสมผสานระหว่างกลิ่นหอมและรสเผ็ดของต้มยำกับความสบายของข้าวผัด อาหารฟิวชั่นจานนี้รวบรวมสุดยอดอาหารไทยไว้ด้วยกัน

ข้าวผัดต้มยำ คืออะไร ?
ข้าวผัดต้มยำได้แรงบันดาลใจมาจากต้มยำซึ่งเป็นอาหารไทยขึ้นชื่อที่มีรสชาติจัดจ้านและจัดจ้าน โดยการนำส่วนผสมหลักของต้มยำมาใส่ในข้าวผัด ทำให้ข้าวผัดจานนี้กลายเป็นอาหารรสชาติเข้มข้นหอมอร่อยที่ทั้งอิ่มอร่อยและตื่นเต้นไปกับรสชาติ

ส่วนผสมที่สำคัญ
เคล็ดลับความอร่อยของข้าวผัดต้มยำอยู่ที่วัตถุดิบที่ดึงเอาความอร่อยของต้มยำออกมาได้:

ข้าวหอมมะลิ – ข้าวฐานสมบูรณ์แบบ มีความแน่นเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม
กุ้งหรือไก่ – ทางเลือกโปรตีนทั่วไป แต่คุณยังสามารถใช้เต้าหู้สำหรับแบบมังสวิรัติได้อีกด้วย
เครื่องต้มยำ – ผสมผสานความเข้มข้นของตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด พริก และกะปิ ให้รสชาติต้มยำอันเป็นเอกลักษณ์
กระเทียมและหัวหอม – เพิ่มกลิ่นหอมโดยรวม
น้ำปลาและน้ำมะนาว – เพิ่มความเข้มข้นและรสเปรี้ยว
พริกและสมุนไพรไทย – เพื่อเพิ่มความร้อนและความหอม
ไข่ – ไม่จำเป็น แต่จะช่วยให้มีเนื้อครีมมากขึ้น

วิธีทำข้าวผัดต้มยำ
เตรียมข้าว – ใช้ข้าวหอมมะลิหุงสุกที่เย็นแล้วเพื่อให้ข้าวมีเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด
ผัดเครื่องเทศ – ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนแล้วผัดกระเทียมและหัวหอมจนมีกลิ่นหอม
ปรุงโปรตีน – ใส่กุ้งหรือไก่แล้วผัดจนสุก
เพิ่มรสชาติต้มยำ – ผสมเครื่องต้มยำ น้ำปลา และน้ำเล็กน้อยเพื่อสร้างรสชาติที่ลงตัว
ผัดข้าว – ใส่ข้าวและคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน
ปรุงรสและตกแต่งให้เสร็จ – ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว พริกเพิ่มเติม หรือสมุนไพรตามต้องการ
เสิร์ฟร้อนๆ – ตกแต่งด้วยผักชีสด มะนาวฝาน และไข่ดาวด้านบน (ตามชอบ)
ทำไมคุณถึงควรลอง
รสชาติที่เข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์ – ความคิดสร้างสรรค์ในการปรับรสชาติข้าวผัดแบบดั้งเดิม
รวดเร็วและง่ายดาย – สามารถทำได้ภายใน 20 นาที
ปรับแต่งได้ – ปรับระดับเครื่องเทศหรือเพิ่มโปรตีนชนิดต่างๆ
ประสบการณ์อาหารไทยแบบแท้ๆเหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบอาหารไทย

ข้าวผัดต้มยำเป็นเมนูที่ต้องลองสำหรับทุกคนที่ชอบอาหารรสจัด หอมกรุ่น และเผ็ดร้อน ไม่ว่าคุณจะชอบต้มยำหรือแค่ชอบข้าวผัด เมนูนี้ก็เข้ากันได้ดีกับทั้งสองอย่าง ลองทำกินเองที่บ้านแล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงรสชาติอันเข้มข้นของไทย

4
สัญญาณอันตราย! อาการแบบไหน ที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องระวัง?

ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อเกิดภาวะโรคติดเชื้อแล้วจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้มากกว่าคนปกติ เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวาน มักจะมีโรคร่วมอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อัมพาต-อัมพฤกษ์

อาการที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

    เหงื่อออก
    ใจสั่น มือสั่น
    หิว
    อ่อนเพียง ไม่มีแรง
    หมดสติ ชัก

อาการที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง

    กระหายน้ำ
    ปัสสาวะบ่อย
    น้ำหนักลด
    คลื่นไส้ อาเจียน
    ปวดท้อง
    หมดสติ ชัก

อาการที่ผู้ป่วยเบาหวานเกิดภาวะติดเชื้อ (หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที)

    มีไข้
    หนาวสั่น ขนลุก
    เจ็บที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
    ปัสสาวะแสบขัด
    ไอมากกว่าปกติ
    เสมหะเปลี่ยนสี

หากทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคเบาหวาน และถ้ามีอาการเหล่านี้ อย่ารอนาน ควรรีบมาพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือดได้มากกว่าคนทั่วไป

สำหรับโรคเบาหวาน หากผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี โดยมีระดับน้ำตาลในเลือด (แบบตรวจเลือดจากปลายนิ้ว) มากกว่า 180 มก./ดล. ถือว่าเป็นผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เม็ดเลือดขาวจะทำงานได้ไม่ดี ร่างกายเกิดการกำจัดเชื้อได้น้อยลง มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคนปกติได้หลายเท่า!

ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรตรวจสอบอาการของตนเอง และระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน และรับการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดอาการรุนแรง

5
จัดฟันบางนา: ใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสนานๆ สามารถทำให้เกิดคราบหินปูนหรือไม่ ?

หลายคนที่มีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน แน่นอนว่า เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าสังคม เพราะการที่เรามีหินปูนสะสมอยู่ภายในช่องปากนั้น ทำให้เรามีกลิ่นปากได้ ซึ่งทำให้เราเสียบุคลิกภาพ เสียความมั่นใจได้ คราบหินปูน เกิดจากการพัฒนามาจากคราบแบคทีเรีย หรือคราบพลาค บางๆ เกาะตัวอยู่บริเวณโคนฟันใกล้ขอบเหงือก อาจมีสีออกเหลือง หรือเทาได้เล็กน้อย ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุได้ อาจจะเกิดปัญหาร้ายแรงจนถึงขั้นเป็นโรคเหงือกอักเสบได้


ดังนั้น การทำความสะอาดช่องปากและฟัน จึงเป้นเรื่องที่เราไม่ควรที่จะมองข้าม เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมามากมายได้ สำหรับคราบหินปูนนั้น เกิดจากการตกตะกอนของแคลเซียม และฟอสเฟต ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำลาย ขณะที่เรารับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ที่มีแป้ง และน้ำตาล แล้วเราทำความสะอาดฟันไม่เพียงพอ หรือทำความสะอาดได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากของเรา ก็จะใช้น้ำตาลที่ติดอยู่ตามซอกฟันของเราเป็นแหล่งพลังงาน เพื่อสร้างกรด และสารพิษ ทำให้เกิดคราบหินปูนได้ สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันรูปแบบไหน ก็มีโอกาสที่จะเกิดคราบหินปูนได้ง่าย

เนื่องจากอาจจะเกิดจากการที่เราแปรงฟันได้ไม่ทั่วถึง เพราะผู้ที่เข้ารับการจัดฟันนั้น มีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก อาจจะทำให้ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ยาก อย่างไรก็ตาม  การจัดฟันยังมีอีกหนึ่งรูปแบบที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ การจัดฟันแบบใส ที่สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันได้ หลายคนืที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส คงจะมีคำถามว่า เมื่อเวลาที่เราสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใส สามารถทำให้เราเกิดคราบหินปูนได้ง่ายหรือไม่

วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการจัดฟันแบบใส ว่า สามารถทำให้เกิดคราบหินปูนได้ง่ายหรือไม่ อย่างที่หลายคนทราบว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใส มีจุดเด่นที่แตกต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่น นั่นคือ สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ขณะรับประทานอาหารและขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน ดังนั้น คำถามที่ว่าผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะทำให้เกิดคราบหินปูนได้ง่ายหรือไม่ ต้องบอกว่าการจัดฟันแบบใส จะช่วยสามารถป้องกันการเกิดคราบหินปูนได้เลย เพราะเนื่องจากการจัดฟันแบบใสสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันได้ ขณะทำความอาจช่องปากและฟัน จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถแปรงฟันได้อย่างทั่วถึง ซึ่งการแปรงฟันอย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพจะช่วยทำให้ลดการเกิดคราบหินปูนได้


ดังนั้น การจัดฟันแบบใส จึงช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการจัดฟันได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดเด่นในข้อนี้ จึงทำให้การจัดฟันแบบใสมีความแตกต่างจากการจัดฟันที่สวมใส่เหล็กจัดฟันที่อาจจะทำให้ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง เพราะฉะนั้น ใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใสก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องของการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันหรือคราบหินปูนและในขณะที่เราสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสแน่นอนว่าก็จะทำให้ไม่เกิดคราบหินปูนอย่างแน่นอน แถมยังช่วยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันด้วย

หากใครสนใจเข้ารับการจัด สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อย่างยาวนานในวงการทันตกรรม และทางคลินิกยังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign จึงทำให้คลินิกของเรามีความน่าเชื่อถือและการการันตีจากสถาบัน Invisalign ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีความปลอดภัย และมั่นใจได้ว่า คุณจะมีฟันที่สวยงามเป็นะรรมชาติได้อย่างแน่นอน

6
tokyo motor show SUZUKI นำทัพขบวนรถเข้างาน Motor Expo 2024 พร้อมอัดแคมเปญ DEAL OF THE YEAR เฉพาะในงานนี้เท่านั้น

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย เตรียมเข้าร่วมงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Thailand International Motor Expo 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน -10 ธันวาคม 2567 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี โดยนำรถยนต์ซูซูกิทุกรุ่นเข้าร่วมไปจัดแสดงพร้อมกับการนำเสนอแคมเปญสุดพิเศษส่งท้ายปีมอบให้แก่ผู้เข้าชมงานที่สนใจในผลิตภัณฑ์ของซูซูกิ

การนำผลิตภัณฑ์เข้าไปร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งนี้ มุ่งหวังที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าร่วมชมงานทุกท่าน ด้วยการรังสรรค์บรรยากาศของบูธด้วยแนวคิด EMOLUTION Playground สนามแห่งการสร้างสรรค์จินตนาการเพื่อความก้าวหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการจัดบูธให้เปรียบเสมือนกับนิทรรศการขนาดย่อมในรูปแบบที่มีชีวิตชีวา สะท้อนถึงความสุขและความสนุกของผู้ใช้รถยนต์ของซูซูกิ ผ่านการนำเสนอให้ได้เห็นถึงวิวัฒนาการของรถยนต์ซูซูกิที่มีสามารถตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดแสดงรถเป็น 2 ส่วน คือรถยนต์รุ่นมาตรฐานของซูซูกิ และรถยนต์รุ่นตกแต่งเพื่อนำเสนอแนวทางให้ลูกค้านำไปตกแต่งรถได้ในสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเอง”

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยยังคงอยู่ในสภาวะซบเซา แต่การเข้ามาทำตลาดของแบรนด์รถยนต์ใหม่ๆ กลับทำให้ตลาดมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งในเรื่องของการนำเสนอราคาและโปรโมชัน ซึ่งในภาพรวมจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่สามารถเลือกรับสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองได้ ซูซูกิจึงมีความเชื่อมั่นว่า งานมหกรรมยานยนต์ยังคงเป็นงานที่มีส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศให้เกิดการซื้อขาย และกระตุ้นตลาดรถยนต์ในช่วงท้ายของปีได้เป็นอย่างดี เรามีความมุ่งหวังว่าการเข้าร่วมงานในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยผลักดันยอดขายรถยนต์ซูซูกิให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับการเข้าร่วมงาน มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 การจัดแสดงบูธภายใต้แนวคิด EMOLUTION Playground สนามแห่งจินตนาการ จะดึงดูดผู้เข้าชมงานให้เข้ามาสัมผัสถึงความเป็นเอกลักษณ์รถยนต์ซูซูกิได้เป็นอย่างดี

ไฮไลท์ของรถที่ตกแต่งในปีนี้ นำโดย SUZUKI SWIFT สปอร์ตแฮทช์แบ็กยอดนิยมของคนไทย สร้างยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของซูซูกิมาอย่างต่อเนื่อง ห้องโดยสารสีดำตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินสไตล์สปอร์ต จอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว  พร้อมฟังก์ชันเอนเตอร์เทนเมนท์ครบครัน รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay, Android Auto และ Bluetooth และเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน เติมเต็มความบันเทิงในการขับขี่ ทำให้ไม่พลาดทุกการติดต่อตลอดการเดินทาง มาพร้อมเครื่องยนต์รหัส K12M ขนาด 1.2 ลิตร หัวฉีดคู่ DUALJET ช่วยลดมลพิษและประหยัดน้ำมันถึง 23 กิโลเมตรต่อลิตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 567,000 บาท

นอกจากนั้น ซูซูกิ ขอแนะนำ SUZUKI JIMNY จากรุ่นสู่รุ่นถึงเจเนเรชั่นที่ 4 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Authentic compact 4WD รถยนต์ออฟโรดขนาดคอมแพ็คกับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซูซูกิ ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของดีไซน์และสมรรถนะเกินตัวกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time 4WD พร้อมใช้งานในทุกสภาพการขับขี่และภูมิประเทศที่หลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานอย่างมืออาชีพ เติมเต็มประสบการณ์ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตสไตล์ออฟโรด ในครั้งนี้ SUZUKI JIMNY ถูกนำมาตกแต่งในแบบ OFFROAD EDITION เป็นรถออฟโรดที่ดูดุดันและแข็งแกร่งมากขึ้น

ภายใต้แนวคิด BORN TO BE LEGEND ด้วยการตกแต่งชุดกระจังหน้าดีไซน์ดุดัน มาพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งกันชนด้านหน้า ชุดสเกิร์ตด้านข้าง ชุดฝาครอบล้อพร้อมสติกเกอร์ตกแต่ง แผ่นกันโคลน กรอบรองมือจับประตู สติกเกอร์ตกแต่งฝาครอบถังน้ำมันและ Jimny Offroad Emblem โดยมีสีโมโนโทนให้เลือกเป็นสีเขียว /Solid Jungle Green สีดำ/Pearl Bluish Black สีเทา/Solid Medium Gray และสีขาว /Superior White และสีขาว/Metallic Chiffon Ivory ในราคาเดิมที่ 1,760,000 บาท และ สีทูโทน เป็นสีเหลืองกับหลังคาสีดำ/Solid Kinetic Yellow with Pearl Bluish Black และสีขาวกับหลังคาสีดำ/ Metallic Chiffon Ivory with Pearl Bluish Black ในราคาเดิมที่ 1,790,000 บาท

SUZUKI CELERIO รุ่นที่เคยสร้างกระแสความคุ้มค่า ที่มาพร้อมความโดดเด่นทุกด้าน ในสไตล์ CITY CAR ราคาเริ่มต้นที่ 319,900 บาท ตอกย้ำความแตกต่างอย่างมีสไตล์ ด้วยชุดแต่งพิเศษ GL UP เติมเต็มความสปอร์ต ด้วยชุดสเกิร์ตรอบคัน พร้อมด้วยสปอยเลอร์หลัง และชุดสติกเกอร์ GL UP ในราคาจำหน่ายที่ 391,900 บาท และ SUZUKI CELERIO GX  มาพร้อมกับการปรับปรุงเพื่อตอบรับทุกการใช้งานที่ครบครัน ด้วยจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่นวิทยุ MP3 และ WMA พร้อม Apple CarPlay และ Android Auto รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และ USB ราคาจำหน่าย 399,900 บาท

SUZUKI XL7 HYBRID ดีไซน์กระจังหน้าโครเมียมมาพร้อมกับไฟหน้า LED รีเฟล็กเตอร์ และ Daytime Running Light  ลงตัวกับไฟท้าย LED แบบ Light Guides ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง กับเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง มาพร้อมด้วยเทคโนโลยี Smart Hybrid จากซูซูกิ  ซึ่งเป็นการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ISG พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ION  ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน และเสริมประสิทธิภาพการออกตัวได้อย่างนุ่มนวลและรวดเร็วด้วยกำลังส่งจากการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า อีกทั้งยังบำรุงรักษาง่ายไม่แตกต่างจากเครื่องยนต์เบนซินสามารถใช้งานได้อย่างไร้กังวล พร้อมตอกย้ำความมั่นใจด้วยการรับประกันแบตเตอรี่นาน 5 ปีเต็ม ราคา 799,000 บาท

SUZUKI ERTIGA HYBRID รถอเนกประสงค์ MPV เต็มที่ทุกฟังก์ชัน ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทคโนโลยีอัจฉริยะ SHVS จากซูซูกิ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า Integrated Starter Generator หรือ ISG พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ION  ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร ชาร์จไฟในตัวขณะขับขี่ลดความยุ่งยากในการหาสถานีชาร์จไฟ เสริมประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนให้รถออกตัวได้อย่างนุ่มนวล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 134 กรัม/กิโลเมตร การบำรุงรักษาง่ายไม่แตกต่างจากรถเครื่องยนต์เบนซิน รับประกันอายุแบตเตอรี่นานถึง 5 ปี ราคา 699,000 บาท

SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ ที่ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ที่พร้อมจะนำไปดัดแปลงและพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับทุกแนวทางของการดำเนินชีวิต จนถูกเรียกว่า Goods Truck และ Service Truck สามารถต่อยอดในการทำธุรกิจอื่นๆ เสมือนดั่งพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ใช้ด้วยความจริงใจ พร้อมเดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่งสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ราคาจำหน่ายเพียง 395,000 บาท

สำหรับในงานนี้ ซูซูกิ มีแนวคิดที่ต้องการเปิดโอกาสและส่งเสริมการสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน ให้คนไทยที่อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง แต่ไม่ต้องการสร้างหน้าร้าน หรือต้องหาเช่าพื้นที่ เนื่องจากมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง การทำร้านแบบรถขายของเคลื่อนที่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ซูซูกิจึงได้นำ SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์มาออกแบบและตกแต่งให้เป็นร้านขายกาแฟเคลื่อนที่ มุ่งหวังที่จะส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของร้านกาแฟโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก ซึ่งนอกจากจะเป็นการนำเสนอไอเดียเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจที่แตกต่าง จุดประกายแนวทางใหม่ให้ผู้ประกอบการ ตอกย้ำแนวคิด Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเรามีเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนรถกระบะบรรทุกให้เป็นรถขนส่งความสุขเคียงข้างทุกเส้นทางฝันทั้งในด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตส่วนตัว รวมถึงการช่วยเหลือสังคมเหมาะสมกับการเป็นรถที่ครองใจผู้ประกอบการตัวจริง”
 
โปรโมชันงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 กับแคมเปญ SUZUKI DEAL OF THE YEAR ดีลสุดพิเศษส่งท้ายปี
SUZUKI SWIFT
รับสิทธิพิเศษฟรี SUZUKI WORRY FREE PROGRAM
ฟรี Suzuki Maintenance Service 7 ปี
ฟรี Suzuki Warranty 7 ปี
ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 7 ปี
พร้อม ผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน ๆ ละ 5,780 บาท
สมาชิกหอการค้าและเครือข่าย หรือสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับส่วนลดเพิ่ม 15,000 บาท
พนักงานเงินเดือนประจำ และลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ รับดอกเบี้ยพิเศษ
พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก
SUZUKI ERTIGA HYBRID
ราคาพิเศษเริ่มต้น 699,000 บาท
ผ่อนนานสูงสุด 99 เดือนละ 7,126 บาท
สมาชิกหอการค้าและเครือข่าย หรือสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับส่วนลดเพิ่ม 15,000 บาท
พนักงานเงินเดือนประจำ และลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ รับดอกเบี้ยพิเศษ
พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี
SUZUKI XL7 HYBRID
ราคาพิเศษเริ่มต้น 799,000 บาท
พร้อมเลือกรับข้อเสนอ ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 7,888 บาท หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน ๆ ละ 8,146 บาท
สมาชิกหอการค้าและเครือข่าย หรือสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับส่วนลดเพิ่ม 15,000 บาท
พนักงานเงินเดือนประจำ และลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ รับดอกเบี้ยพิเศษ
พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี
SUZUKI CELERIO
ราคาพิเศษเริ่มต้น 319,999 บาท
พร้อมเลือกรับข้อเสนอ ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 2,999 บาท หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน เดือนละ 3,302 บาท
พนักงานเงินเดือนประจำ และลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ รับดอกเบี้ยพิเศษ
พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี
SUZUKI CARRY
รับข้อเสนอส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 20,000 บาท
หรือ เลือกรับ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 1.99% นาน 60 เดือน หรือ
รับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท
ลูกค้าองค์กรธุรกิจ รับส่วนลดเพิ่ม 10,000 บาท
พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก
SUZUKI JIMNY OFFROAD EDITION
รับสิทธิพิเศษ SUZUKI WORRY FREE PROGRAM
ฟรี Suzuki Maintenance Service 7 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ฟรี Suzuki Warranty 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) สำหรับอุปกรณ์เพิ่มเติม 14 รายการในรถยนต์ SUZUKI JIMNY OFFROAD EDITION รับประกัน  3 ปี หรือ 100,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดถึงก่อน) ภายใต้เงื่อนไขและข้อกำหนดที่ทางบริษัทระบุไว้ในสมุดการรับประกัน
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 7 ปี

พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งคุ้มครองอุปกรณ์เพิ่มเติมในรถยนต์ SUZUKI JIMNY OFFROAD EDITION เป็นระยะเวลาหนึ่งปีแรก
ทั้งนี้ รายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์ซูซูกิสามารถเยี่ยมชมและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บูธรถยนต์ซูซูกิตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน -10 ธันวาคม 2567 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี  หรือโชว์รูมรถยนต์ซูซูกิใกล้บ้าน

นายวัลลภ ยังกล่าวอีกว่า งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Thailand International Motor Expo 2024 ซูซูกิยังได้นำเสนอแคมเปญพิเศษ SUZUKI DEAL OF THE YEAR ดีลสุดพิเศษส่งท้ายปี ให้ลูกค้าเลือกรับข้อเสนอสุดคุ้ม ผ่อนง่ายจ่ายสบาย โดยสามารถเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน หรือผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 2,999 บาท ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งทุกรุ่น พร้อมด้วย สิทธิพิเศษฟรี SUZUKI WORRY FREE PROGRAM เริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2567 โดยขอเชิญชวนลูกค้าติดต่อสอบถามรายละเอียดแคมเปญพิเศษของรถแต่ละรุ่นได้ที่บูธรถยนต์ซูซูกิ หรือที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ

7
หมอประจำบ้าน: สำลักอาหารหรือสิ่งแปลกปลอม (Choking/Foreign body aspiration)

1. เมื่อพบเด็กหรือผู้ใหญ่มีอาการสำลักอาหาร หรือสิ่งแปลกปลอมติดคอ ถ้ายังไอได้แรง ๆ พูดได้ และหายใจเป็นปกติ ซึ่งเป็นภาวะที่ยังไม่มีอันตรายร้ายแรง ควรรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที โดยไม่ต้องทำอะไร อย่าพยายามให้ความช่วยเหลือใด ๆ (เช่น ใช้นิ้วล้วงคอเพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออก) เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมเคลื่อนที่ลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจ เป็นอันตรายได้

ระหว่างนั้นกระตุ้นบอกให้ผู้ป่วยไอไปเรื่อย ๆ อาจช่วยให้สิ่งที่สำลักหลุดออกมาได้ แม้ว่าหลุดออกมาแล้วก็ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมตกลงไปในหลอมลมหรือมีภาวะแทรกซ้อนอะไรหรือไม่

2. ถ้าพบว่าผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่ได้ หน้าเขียว ตัวเขียว เล็บเขียว ไอไม่ออก พูดไม่ออก ร้องไม่มีเสียง แสดงท่าใช้มือกุมที่ลำคอ แสดงว่ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจรุนแรง ให้รีบช่วยชีวิตด้วยการลงมือทำการปฐมพยาบาลทันทีพร้อม ๆ กับให้คนช่วยโทรแจ้งหน่วยรับเหตุฉุกเฉิน (โทร.191 หรือ 1669)

3. หลังจากแพทย์ให้การรักษาและกลับมาอยู่ที่บ้าน ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด หากมีอาการผิดปกติ (เช่น ไข้ ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว ไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย เป็นต้น) หรือสงสัยเกิดอาการแพ้ยา (เช่น เป็นลมพิษ ผื่นคัน) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การปฐมพยาบาลผู้ที่มีภาวะฉุกเฉินจากการสำลัก

เมื่อพบเด็กหรือผู้ใหญ่มีอาการสำลักอาหาร หรือสิ่งแปลกปลอมติดคอ ถ้ายังไอได้แรง ๆ พูดได้ และหายใจเป็นปกติ ไม่ต้องทำอะไร แต่ควรรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที อย่าพยายามให้ความช่วยเหลือใด ๆ (เช่น ใช้นิ้วล้วงคอเพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออก) เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมเคลื่อนที่ลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจ เป็นอันตรายได้

ถ้าผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่ได้ หน้าเขียว เล็บเขียว ไอไม่ออก พูดไม่ออก ร้องไม่ออก ควรรีบให้ความช่วยเหลือดังนี้

1. กรณีที่ผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี

ก. ผู้ใหญ่และเด็กโต ใช้วิธี "รัดท้องอัดยอดอก (Heimlich maneuver หรือ abdominal thrust)" โดย

(1) ผู้ช่วยเหลือยืนข้างหลังผู้ป่วย ใช้แขน 2 ข้างโอบรอบเอวผู้ป่วย

(2) ผู้ช่วยเหลือใช้มือข้างที่ไม่ถนัดกำหมัด โดยเก็บนิ้วหัวแม่มือไว้ในกำปั้น แล้ววางกำปั้นไว้เหนือสะดือ (อยู่ใต้กระดูกอ่อน "ลิ้นปี่") ของผู้ป่วย โดยให้ด้านหัวแม่มืออยู่ติดกับหน้าท้องผู้ป่วย

(3) ผู้ช่วยเหลือใช้มืออีกข้างที่ถนัดจับมือที่กำหมัดไว้แล้ว จากนั้นผู้ช่วยเหลือรัดกระตุกแขนทั้งสองข้างเข้าหาลำตัว ทำการอัดมือที่กำหมัดไว้เข้าท้องแรงๆ เร็ว ๆ ในลักษณะเฉียงขึ้นไปข้างบนเพื่อเข้าไปในอก (ทำคล้ายกับจะพยายามยกตัวผู้ป่วยขึ้น)

(4) อัดหมัดเข้าท้องซ้ำ ๆ ติด ๆ กัน จำนวน 5 ครั้ง ต่อหนึ่งยก ทำไปเรื่อย ๆ (ยกละ 5 ครั้ง) จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา ถ้าไม่หลุดและผู้ป่วยหมดสติ ให้การช่วยเหลือดัง "ข้อ 2 กรณีผู้ป่วยหมดสติ"

หมายเหตุ : สำหรับคนอ้วน ลงพุง หรือหญิงตั้งครรภ์ ให้ทำการช่วยเหลือคล้าย ๆ กัน แต่ควรวางมือตรงตำแหน่งที่สูงกว่าคนทั่วไป คือวางตรงลิ้นปี่ และอัดหมัดเข้ายอดอกแทน

กรณีอยู่ตามลำพัง ไม่มีผู้ช่วยเหลือ ให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเอง โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้

วิธีที่ 1

(1) กำหมัดข้างหนึ่งโดยเก็บนิ้วหัวแม่มือไว้ในกำปั้น แล้ววางกำปั้นไว้เหนือสะดือ โดยให้ด้านหัวแม่มืออยู่ติดกับหน้าท้อง

(2) ใช้มืออีกข้างจับมือที่กำหมัดไว้ แล้วก้มตัวให้มือที่วางไว้หน้าท้องนั้นกระทบขอบแข็ง ๆ ที่สามารถดันมือเข้าในท้องได้แรง ๆ (เช่น ขอบโต๊ะ ขอบเคาน์เตอร์ พนักพิงเก้าอี้ ขอบอ่างล้างมือ)

(3) หลังจากนั้น ก้มตัวลงแรง ๆ เพื่อกระแทกหมัดอัดเข้าท้องในลักษณะดันเฉียงขึ้นข้างบน ทำซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา
 

วิธีที่ 2

กระแทกหน้าท้องเข้ากับขอบแข็ง ๆ (เช่น ขอบโต๊ะ พนักพิงเก้าอี้) ทำซ้ำ ๆ จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา
 
ข. สำหรับทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี ให้ทำการช่วยเหลือ ดังนี้

(1) จับทารกนอนคว่ำบนแขน ให้ศีรษะต่ำลงเล็กน้อย

(2) ใช้ฝ่ามือตบลงตรงกลางหลังของทารก (ระหว่างกลางของสะบัก 2 ข้าง) เร็ว ๆ 5 ครั้ง

(3) ถ้าไม่ได้ผล จับทารกนอนหงายบนแขนให้ศีรษะต่ำ แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางวางบนกระดูกลิ้นปี่ แล้วกดหน้าอกลง (สักครึ่งถึง 1 นิ้ว) เร็ว ๆ 5 ครั้ง

(4) ถ้าไม่ได้ผล ให้ทำการ "ตบหลัง" 5 ครั้ง สลับกับ "กดหน้าอก" 5 ครั้ง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุด (ถ้าหมดสติก็ให้การช่วยเหลือดัง "ข้อ 2 กรณีผู้ป่วยหมดสติ")
 

2. กรณีผู้ป่วยหมดสติ (ไม่รู้สึกตัว) ให้ทำการช่วยเหลือดังนี้

(1) จับผู้ป่วยนอนหงายลงบนพื้น

(2) เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง โดยใช้มือยกคางขึ้นและกดศีรษะลง

(3) ตรวจในช่องปาก ถ้ามองเห็นสิ่งแปลกปลอมชัดเจน ให้ใช้นิ้วชี้ค่อย ๆ เขี่ยและเกี่ยวออกมา แต่ต้องระวังอย่าทำแรงหรือลึกเกินไป เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดลึกเข้าไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักเกิดกับเด็กเล็ก

ถ้าสิ่งแปลกปลอมอยู่ลึกเกินไป หรือมองสิ่งแปลกปลอมไม่เห็น ห้ามใช้นิ้วล้วง เพราะจะเกิดอันตรายได้

(4) ให้ทำการช่วยหายใจโดยการเป่าปาก 2 ครั้ง ครั้งละ 1 วินาทีครึ่ง
 
(5) ทำการรัดท้องอัดยอดอก 6-10 ครั้ง ในท่านอนหงาย (สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 1 ปี) (ภาพที่ 10) หรือทำการตบหลัง 5 ครั้ง สลับกับกดหน้าอก 5 ครั้ง (สำหรับทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี) ทำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมหลุด หรือผู้ป่วยหายใจเองได้
 
(6) ตรวจดูช่องปาก ทำการเขี่ยและเกี่ยวสิ่งแปลกปลอมออกตามข้อ (3)

(7) ถ้าสิ่งแปลกปลอมยังไม่ออก หรือผู้ป่วยยังหายใจไม่ได้ ให้ทำตามข้อ (4) ถึง (6) ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล

(8) ในกรณีที่หัวใจหยุดเต้น (คลำชีพจรไม่ได้) ให้ทำการเป่าปากและนวดหัวใจแทน จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล การนวดหัวใจโดยการกดหน้าอก (ภาพที่ 11) อาจช่วยให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาได้ อย่าลืมคอยตรวจเช็กตามข้อ (3) เป็นระยะ
 


8
คอนโดติดรถไฟฟ้า เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่ (Senakith Bts Saphanmai)
เริ่มต้น 1.4 ลบ.

เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่ (Senakith Bts Saphanmai)
คอนโดราคาต่ำล้าน Low Rise 8 ชั้น ที่ให้คุณ "คุ้มกว่าที่คิด" ทุกตารางนิ้วออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า ห้องนั่งเล่นและห้องนอน กั้นเป็นสัดส่วน Walk-in Closet พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบ สิ่งอำนวยความสะดวก "มากกว่าที่คิด" เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าสถานีสะพานใหม่

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                 เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่ (Senakith Bts Saphanmai)
 เจ้าของโครงการ            เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย                  เสนา คิทท์
 ราคา                         เริ่มต้น 1.4 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล               คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด             Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี            1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี              ตั้งแต่ 22.50 ถึง 38.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด               4 ไร่ 3 งาน 5 ตร.ว.
 จำนวนตึก                  2 อาคาร
 จำนวนชั้น                  8 ชั้น
 จำนวนห้อง                497 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด          36%
 ค่าบำรุงส่วนกลาง        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค            สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, อื่นๆ (คลับเฮ้าส์, Nature Jogging Track, ระบบลิฟต์ ล็อคชั้น), สวนหย่อม

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          เกษตร-นวมินทร์, รามอินทรา, สายไหม
 ที่ตั้ง           45 ถนน เทพรักษ์ แขวง คลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร 10220
 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:            ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(สะพานใหม่), ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(สายหยุด)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
บิ๊กซีสะพานใหม่
โลตัสสะพานใหม่
เซ็นทรัลรามอินทรา
ตลาดยิ่งเจริญ
กองทัพอากาศ
ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ
ธกส สำนักงานใหญ่
มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
โรงเรียนสยามบริหารธุรกิจ
โรงเรียนนายเรืออากาศ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล
โรงพยาบาลภูมิพล

9
จัดฟันบางนา: ข้อดีของการ จัดฟันแบบใส ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น !

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นการจัดฟันรูปแบบใหม่ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะการจัดฟันแบบใส ทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้น หากเปรียบเทียมกับการจัดฟันในรูปแบบเดิม ที่ต้องใส่เหล็กจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันแบบนี้ จะทำให้เราใช้ชีวิตด้วยข้อจำกัด

อย่างเช่น เรื่องของอาหารการกิน คือผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส่เหล็กจัดฟัน จะต้องคำนึงในเรื่องของการรับประทานอาหาร ยุ่งยากเวลาทำความสะอาดซอกฟันและซอกเหล็ก และต้องคอยเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกเดือนด้วย แต่การจัดฟันแบบใสนั้น มีความสะดวกกว่า เนื่องจาก มองเห็นเครื่องมือได้ยาก สามารถพูดคุยได้ตามปกติ ซึ่งต่างจากที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ในช่องปากจะทำให้เราพูดไม่ชัด

รวมไปถึงการที่สามารถถอดเหล็กจัดฟันออกได้ ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องของอาหารการกิน เพราะการจัดฟันแบบใส เวลาที่ต้องรับประทานอาหาร จะต้องถอดเครื่องมือออก ทำให้มีความหลากหลายในการรับประทานอาหารและยังสามารถถอดออกได้ในเวลาที่ต้องทำความสะอาดช่องปาก เนื่องจากกานถอดเครื่องมือออกได้นี้เอง เป็นการส่งผลให้เรามีสุขภาพช่องปากที่ดีไปด้วย สามารถใช้ไหมขัดฟันได้ ทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าเครื่องมือจะหลุด และเครื่องมือการจัดฟันแบบใสยังถอดออกและใส่เข้าไปได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้งยังดูแลรักษาเครื่องมือจัดฟันได้ง่าย ไม่ต้องยุ่งยาก และยังไม่ต้องเข้าพบทันตแพทย์บ่อยๆ สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าพบทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาบ่อยๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า การจัดฟันแบบใส จะช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษามีชีวิตที่ง่ายกว่าเดิม ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย รับประทานอาหารที่ชอบได้อย่างเต็มที่

และยังทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่ ยังช่วยป้องกันฟันผุ และปัญหาสุขภาพปากและฟันที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ทางคลีนิคเรามีบริการการจัดฟันแบบใส โดยทีมทัตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนาน สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

10
Doctor At Home: มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer)

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดของมะเร็งในผู้หญิงไทย พบมากในช่วงอายุ 35-60 ปี แต่ก็อาจพบในคนอายุน้อย (เช่น 20 ปี) ก็ได้

มะเร็งชนิดนี้สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มและรักษาให้หายขาดได้

สาเหตุ

สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

พบว่าประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยโรคนี้ มีความสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรังของปากมดลูกจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (human papilloma virus/HPV) ชนิด 16 และ 18 (ซึ่งยังเป็นปัจจัยของการเกิดมะเร็งช่องปากและองคชาตอีกด้วย แต่เป็นคนละสายพันธุ์กับเอชพีวี ชนิดที่ 6 และ 11 ที่ทำให้เกิดหูดและหงอนไก่) เชื้อนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งพบมากในช่วงอายุ 20-40 ปี สามารถตรวจเช็กพร้อมกับการตรวจแพ็ปสเมียร์ พบว่าการติดเชื้อเอชพีวีมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุต่ำกว่า 17 ปี, มีคู่นอนหรือสามีหลายคน หรือมีสามีที่มีความสำส่อนทางเพศ, มีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ (เช่น เอชไอวี เชื้อคลามีเดีย เริม ซิฟิลิส หนองใน เป็นต้น), ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกัน)

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เสริมให้เป็นมะเร็งปากมดลูก เช่น การสูบบุหรี่ การกินยาเม็ดคุมกำเนิดนานกว่า 5 ปีขึ้นไป การมีบุตรหลายคน การกินผักและผลไม้น้อย น้ำหนักเกิน การมีประวัติโรคนี้ในครอบครัว เป็นต้น

อาการ

ระยะแรกเริ่ม จะไม่มีอาการแสดง (สามารถตรวจพบโดยการตรวจแพ็ปสเมียร์) เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้น จะพบว่ามีอาการเลือดออกจากช่องคลอด (บางรายเข้าใจว่ามีประจำเดือนออกมากหรือกะปริดกะปรอย) หรือมีเลือดออกภายหลังการร่วมเพศ บางรายอาจมีอาการตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีเลือดปน หรือตกขาวปริมาณมาก

ผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน อาจสังเกตว่าหลังจากหมดประจำเดือนไปนาน 6 เดือนหรือเป็นปี กลับมีประจำเดือนมาใหม่ แต่ออกมากและนานกว่าปกติ

ระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามไปมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องน้อย ปวดหลัง ก้นกบ หรือต้นขา ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด ขาบวม เกิดภาวะไตวาย เนื่องจากทางเดินปัสสาวะอุดกั้นจากก้อนมะเร็ง

ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดภาวะซีด (จากอาการเลือดออกทางช่องคลอดเรื้อรัง), เจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์

มะเร็งมักลุกลามไปยังบริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะ (ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด), ทวารหนัก (ถ่ายอุจจาระลำบาก ถ่ายเป็นเลือด), มีปัสสาวะหรืออุจจาระเล็ดรั่วออกทางช่องคลอด, ลำไส้ (ลำไส้อุดกั้น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือด), ในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ)

การวินิจฉัย

แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ หรือการตรวจกรองโรคก่อนมีอาการ โดยการขูดเซลล์เยื่อบุปากมดลูกนำไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ดังที่เรียกว่าแพ็ปสเมียร์ (Pap smear)

หากสงสัยก็จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการใช้กล้องส่องตรวจปากมดลูก (colposcopy) และตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์,เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด อาจให้รังสีบำบัด (ฉายรังสี ใส่แร่เรเดียม) และ/หรือเคมีบำบัดร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของมะเร็งและระยะของโรค

ผลการรักษา หากพบระยะแรก ๆ การรักษามักจะได้ผลดี หรือหายขาดได้เป็นส่วนใหญ่ มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ถึงร้อยละ 60-95 ถ้าพบระยะ 3 และ 4 การรักษาอาจช่วยให้มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณร้อยละ 20-50


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดไปจากเลือดประจำเดือน, มีเลือดออกภายหลังการร่วมเพศ, มีอาการตกขาวมีเลือดปนหรือมีกลิ่นเหม็น เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก  กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เสรีหรือไม่ปลอดภัย ส่วนการใส่ถุงยางอนามัยอาจป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ ถ้ามีรอยโรคอยู่นอกบริเวณที่ถุงยางครอบคลุมได้
    ไม่สูบบุหรี่
    รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    ตรวจหามะเร็งปากมดลูกระยะแรก (แพ็ปสเมียร์) เป็นประจำ หากพบว่าเซลล์ปากมดลูกเริ่มมีความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็ง (precancerous) จะได้ให้การรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็ง และหากพบว่าเริ่มเป็นมะเร็งระยะแรก (ก่อนมีอาการ) ก็จะได้ให้การรักษาให้หายขาดได้
    ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV vaccine) ซึ่งจะเริ่มฉีดให้เด็กหญิงตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป (ควรฉีดก่อนที่จะแต่งงานหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศ จึงจะได้ประสิทธิผลดี) โดยฉีด 3 เข็ม เข็มที่ 2 และ 3 ห่างจากเข็มแรก 2 และ 6 เดือนตามลำดับ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อเอชพีวี (พบประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้) ข้อเสียคือ วัคซีนยังมีราคาแพง และไม่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 100%


ข้อแนะนำ

1. มะเร็งปากมดลูกสามารถตรวจพบระยะแรก (ก่อนปรากฏอาการ) และรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น ผู้หญิงที่มีสุขภาพเป็นปกติดี ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจกรองหามะเร็งระยะแรก ดังนี้

    ควรเริ่มตรวจตั้งแต่หลังแต่งงานหรือเริ่มมีเพศสัมพันธ์ได้ 3 ปี หรือเมื่ออายุได้ 30 ปีขึ้นไป โดยการตรวจด้วยวิธีแพ็ปสเมียร์ (Pap smear) ทุก 3 ปี (หรือวิธี VIA ทุก 5 ปี จนถึงอายุ 55 ปีขึ้นไปควรตรวจด้วยวิธีแพ็ปสเมียร์แทนทุก 3 ปี) แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น ติดเชื้อเอชไอวี สูบบุหรี่ กินยาเม็ดคุมกำเนิด ควรตรวจทุกปี
    ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หากเคยมีผลการตรวจเป็นปกติติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง (และไม่เคยมีผลการตรวจที่ผิดปกติเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี) ก็สามารถหยุดการตรวจแพ็ปสเมียร์ได้ แต่ถ้าเคยเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน หรือมีปัจจัยเสี่ยงก็ควรจะได้รับการตรวจต่อไปตราบเท่าที่ยังแข็งแรง
    ผู้หญิงที่เคยผ่าตัดมดลูกและปากมดลูกออกทั้งหมดโดยไม่มีสาเหตุจากมะเร็ง สามารถหยุดการตรวจแพ็ปสเมียร์ได้ แต่ถ้าผ่าตัดมดลูกเพียงบางส่วนและยังคงปากมดลูกไว้ ก็ควรรับการตรวจแพ็ปสเมียร์แบบผู้หญิงทั่วไปดังกล่าวข้างต้น

2. ผู้หญิงที่มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือตกขาวผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

11
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


12
ปล่อยรถราคาพิเศษ Tesla Model 3 รุ่น Long Range ปี 2024 สีแดงอัลตรา พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ

Tesla Model 3 Long Range ปี 2024 สีแดงอัลตรา (Ultra Red) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ครั้งใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า "Project Highland" ซึ่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอก ภายใน และสมรรถนะ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 15 มิ.ย. - 31 ก.ค. 2568
การรับประกันพื้นฐานของรถแบบจำกัด สูงสุด 4 ปี หรือ 80,000 กิโลเมตร
การรับประกันรถมือสองแบบจำกัด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

ราคาพิเศษ 1,976,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ขุมพลังและสมรรถนะ (Long Range AWD)

รุ่น Long Range AWD (All-Wheel Drive) มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (Dual Motor) ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้สมรรถนะที่น่าประทับใจ:

กำลังสูงสุด: ประมาณ 340 kW (ประมาณ 455 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด: ประมาณ 493 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: ทำได้ในเวลาเพียง 4.4 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 201 กม./ชม.
แบตเตอรี่: Lithium-ion (NMC - Nickel Manganese Cobalt) มีความจุใช้งานได้ประมาณ 75.0 kWh
ระยะทางวิ่งสูงสุด (WLTP): 629 กม. (เป็นระยะทางที่ยาวไกลมากสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและเดินทางไกล)
อัตราการใช้พลังงาน (WLTP): 119 Wh/km
การชาร์จ:
AC Charging (Type 2): สูงสุด 11 kW
DC Fast Charging (CCS 2): สูงสุด 250 kW (สามารถเพิ่มระยะทางได้ถึง 282 กม. ใน 15 นาที)


13
ข้อควรจำในการใช้งานผ้ากันไฟ

การใช้งานผ้ากันไฟอย่างถูกต้องและมีสติเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยที่สุด โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน ข้อควรจำเหล่านี้จะช่วยให้คุณรับมือกับเหตุการณ์ได้ดีขึ้น:

1. ประเมินสถานการณ์ก่อนใช้งานเสมอ

อย่าเสี่ยงชีวิต: ผ้ากันไฟมีไว้สำหรับ ไฟขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น เท่านั้น เช่น ไฟไหม้กระทะในครัว, ถังขยะ, หรือไฟคลุมเสื้อผ้าเล็กน้อย หากไฟลุกลามใหญ่โต มีควันหนาแน่น หรือคุณรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะเข้าใกล้ ให้รีบอพยพออกจากพื้นที่ทันที และโทรแจ้งหน่วยดับเพลิง 199
ตัดแหล่งเชื้อเพลิง: ถ้าทำได้อย่างปลอดภัย ให้รีบตัดแหล่งเชื้อเพลิงก่อนเสมอ เช่น ปิดแก๊สที่เตา ดึงปลั๊กไฟอุปกรณ์ที่ลุกไหม้


2. ศึกษาและฝึกซ้อมวิธีการใช้งาน

อ่านคู่มือ: ผ้ากันไฟทุกผืนจะมีคำแนะนำการใช้งานติดอยู่บนซองหรือกล่อง ควรอ่านและทำความเข้าใจวิธีการดึงผ้าและการใช้งาน ให้ดีก่อนเกิดเหตุ
ฝึกซ้อม: การลองดึงผ้าออกจากซอง (ผ้าใหม่ หรือผ้าที่ตั้งใจจะเปลี่ยนใหม่) และจำลองการคลุมไฟ จะช่วยให้คุณคุ้นเคยและสามารถใช้งานได้รวดเร็วเมื่อเกิดเหตุจริง


3. การใช้งานผ้าห่มกันไฟ (Fire Blanket) อย่างถูกต้อง

ดึงสายดึงให้ถูกวิธี: จับสายดึงทั้งสองข้าง โดยให้มืออยู่หลังผ้า เพื่อใช้ผ้าเป็นเกราะป้องกันใบหน้าและมือของคุณจากความร้อนและเปลวไฟ
ห้ามโยนผ้า: เด็ดขาด! การโยนผ้าลงบนไฟจะทำให้ลมไปพัดพาออกซิเจนเข้าสู่ไฟ และอาจทำให้เปลวไฟลุกท่วมขึ้นมาเป็นอันตรายต่อผู้ดับ
คลุมจากด้านใกล้ตัว: ค่อยๆ เข้าหาไฟอย่างระมัดระวัง แล้ววางผ้าลงจากด้านที่ใกล้ตัวคุณก่อน ค่อยๆ ไล่คลุมไปข้างหน้า ให้ผ้า คลุมแหล่งกำเนิดไฟจนมิดชิด เพื่อตัดการไหลเวียนของออกซิเจน
ปล่อยทิ้งไว้: เมื่อคลุมไฟได้แล้ว ห้ามยกผ้าออกทันที! ปล่อยผ้าคลุมไฟไว้ อย่างน้อย 15-20 นาที หรือจนกว่าคุณจะแน่ใจว่าไฟดับสนิทและเชื้อเพลิงเย็นลงแล้ว หากยกออกเร็วเกินไป ไฟอาจปะทุขึ้นมาใหม่ได้


4. ข้อควรระวังเพิ่มเติม
ห้ามใช้น้ำกับไฟบางประเภท: ห้ามใช้น้ำดับไฟไหม้น้ำมัน/ไขมัน หรือไฟไหม้อุปกรณ์ไฟฟ้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้น้ำมันกระเด็น (ไฟลาม) หรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจร (อันตรายถึงชีวิต) ผ้าห่มกันไฟเหมาะสำหรับไฟประเภทนี้มากกว่า
ระมัดระวังควัน: ควันจากการเผาไหม้เป็นอันตรายถึงชีวิตมากกว่าเปลวไฟเสียอีก หากมีควันเยอะ หรือไม่สามารถดับไฟได้ ให้รีบหนีออกมาและอยู่ต่ำกว่าระดับควัน

ตรวจสอบสภาพผ้าเสมอ: หมั่นตรวจเช็คสภาพของผ้ากันไฟเป็นประจำ (เช่น ทุก 1-3 เดือน) ตรวจสอบว่าซองไม่ฉีกขาด สายดึงพร้อมใช้งาน ไม่มีรอยไหม้ รู หรือความเสียหายใดๆ บนเนื้อผ้า หากพบความเสียหายแม้เพียงเล็กน้อย ควรเปลี่ยนผ้าใหม่ทันที
เปลี่ยนผ้าหลังใช้งาน: ผ้ากันไฟที่ถูกใช้งานแล้ว (แม้เพียงเล็กน้อย) ต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรพับเก็บกลับไปใช้งานซ้ำ เพราะโครงสร้างของผ้าอาจเสียหายจากความร้อน ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันไฟลดลงอย่างมากเมื่อนำไปใช้ครั้งต่อไป

การมีสติ การฝึกซ้อม และการปฏิบัติตามข้อควรจำเหล่านี้ จะช่วยให้ผ้ากันไฟเป็นเครื่องมือที่ช่วยชีวิตและทรัพย์สินของคุณได้อย่างแท้จริงเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันครับ








14
บริหารจัดการอาคาร: การเลือกตำแหน่งเพื่อติดตั้งกล้องวงจรปิดในบ้าน เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

การติดตั้งกล้องวงจรปิดในบ้านเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อความปลอดภัยและความอุ่นใจของผู้อยู่อาศัยและทรัพย์สิน การเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้กล้องสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในการป้องปราม ตรวจจับ และบันทึกหลักฐาน

หลักการสำคัญในการเลือกตำแหน่ง:

ครอบคลุมจุดเสี่ยง: มุ่งเน้นไปที่จุดที่ผู้บุกรุกอาจใช้เป็นทางเข้า-ออก หรือจุดที่จัดเก็บทรัพย์สินมีค่า
มองเห็นได้ชัดเจน: ภาพที่บันทึกต้องมีความคมชัดเพียงพอที่จะระบุตัวบุคคลหรือเหตุการณ์ได้
ป้องปรามผู้ไม่หวังดี: การมองเห็นกล้องได้ชัดเจนอาจทำให้ผู้ร้ายเปลี่ยนใจ
ป้องกันการถูกทำลาย/ปิดบัง: ตำแหน่งที่ยากต่อการเข้าถึงและมองเห็นได้ยากจากภายนอก
คำนึงถึงแสงสว่าง: หลีกเลี่ยงการย้อนแสง และใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติให้มากที่สุด

ตำแหน่งสำคัญภายนอกบ้าน
การติดตั้งกล้องภายนอกบ้านเป็นการป้องปรามที่ดีที่สุดและเป็นด่านแรกในการตรวจจับผู้บุกรุก

ประตูหน้าบ้านและทางเข้าหลัก (Main Entrance/Front Door):

สำคัญที่สุด: เป็นจุดที่ผู้บุกรุกมักใช้เข้า-ออก หรืออาจสอดแนม
ตำแหน่ง: ติดตั้งเหนือประตู หรือมุมสูงที่สามารถจับภาพใบหน้าผู้มาเยือนได้อย่างชัดเจน รวมถึงบริเวณทางเดินเข้าสู่ประตู
ข้อควรพิจารณา: แสงย้อนจากประตู, กล้องควรมีความสามารถในการมองเห็นในที่มืด (IR/Starlight)


ประตูหลังบ้านและประตูข้างบ้าน (Back/Side Doors):

เป็นจุดที่ผู้บุกรุกมักใช้เข้าทางลับๆ เนื่องจากสังเกตเห็นได้ยาก
ตำแหน่ง: ติดตั้งให้ครอบคลุมทางเข้า-ออก และบริเวณโดยรอบ
ข้อควรพิจารณา: อาจเป็นมุมอับสายตา, ควรมีไฟส่องสว่างเพิ่มเติมในเวลากลางคืน


หน้าต่างที่เข้าถึงได้ง่าย (Accessible Windows):

เช่น หน้าต่างชั้นล่าง, หน้าต่างที่อยู่ใกล้ต้นไม้/หลังคา/ระเบียง
ตำแหน่ง: ติดตั้งให้จับภาพบริเวณหน้าต่างทั้งหมด และบริเวณโดยรอบ
ข้อควรพิจารณา: อาจต้องใช้กล้องที่มีมุมมองกว้าง


ลานจอดรถและโรงรถ (Driveway/Garage):

มักเป็นเป้าหมายของการโจรกรรมรถยนต์ หรือทรัพย์สินภายในรถ
ตำแหน่ง: ติดตั้งให้ครอบคลุมทางเข้า-ออกโรงรถ และพื้นที่จอดรถทั้งหมด สามารถระบุป้ายทะเบียนรถได้หากเป็นไปได้
ข้อควรพิจารณา: แสงจากไฟหน้ารถ, อาจต้องการกล้องความละเอียดสูง
รั้วบ้านและกำแพง (Fences/Walls):

โดยเฉพาะบริเวณที่มีช่องโหว่ หรือจุดที่สามารถปีนข้ามได้ง่าย
ตำแหน่ง: ติดตั้งบริเวณมุมรั้ว หรือตามแนวรั้วที่ยาว เพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวบริเวณขอบเขตบ้าน
ข้อควรพิจารณา: ความสูงในการติดตั้งเพื่อป้องกันการถูกทำลาย

ตำแหน่งสำคัญภายในบ้าน
การติดตั้งกล้องภายในบ้านช่วยเฝ้าระวังเมื่อไม่มีคนอยู่บ้าน หรือใช้เป็นหลักฐานหากผู้บุกรุกสามารถเข้ามาภายในได้


โถงทางเดินหลัก/บันได (Main Hallways/Staircases):

สำคัญ: เป็นเส้นทางหลักที่ผู้บุกรุกจะใช้เคลื่อนที่ภายในบ้าน
ตำแหน่ง: ติดตั้งบริเวณมุมห้อง หรือเพดานที่สามารถมองเห็นทางเดินและบันไดทั้งหมด
ข้อควรพิจารณา: อาจต้องใช้กล้องมุมกว้าง


ห้องนั่งเล่น/ห้องรวมญาติ (Living Room/Common Areas):

มักเป็นพื้นที่ที่เก็บทรัพย์สินมีค่า เช่น ทีวี, เครื่องเสียง, คอมพิวเตอร์
ตำแหน่ง: ติดตั้งในมุมที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่
ข้อควรพิจารณา: ความสวยงามของกล้องที่กลมกลืนกับการตกแต่ง


ห้องเก็บของ/ตู้เซฟ (Storage Room/Safe Area):

หากมีห้องหรือบริเวณที่เก็บของมีค่าหรือเอกสารสำคัญ
ตำแหน่ง: ติดตั้งให้เห็นทางเข้า-ออกของห้อง และบริเวณที่เก็บของ
ทางเข้า-ออกอื่นๆ ภายในบ้าน:

เช่น ประตูที่เชื่อมจากโรงรถเข้าสู่ตัวบ้าน, ประตูที่ออกไปสวนหลังบ้าน
ตำแหน่ง: ติดตั้งคล้ายกับประตูทางเข้าหลัก โดยเน้นการจับภาพใบหน้า
ห้องสำหรับเด็กอ่อน/ผู้สูงอายุ (Nursery/Elderly Room - กรณีใช้เพื่อเฝ้าระวังผู้ที่อยู่ในบ้าน):

ใช้เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัว
ข้อควรพิจารณา: เลือกกล้องที่เน้นความเป็นส่วนตัว มีฟังก์ชันสื่อสารสองทาง และแจ้งเตือนเมื่อตรวจจับการเคลื่อนไหว/เสียงผิดปกติ


ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมในการติดตั้ง

ความสูงในการติดตั้ง:
ภายนอก: ควรสูงประมาณ 2.5 - 3 เมตร เพื่อให้ยากต่อการเข้าถึงและทำลาย แต่ยังคงจับภาพใบหน้าได้ชัดเจน
ภายใน: สามารถติดตั้งได้ตามความเหมาะสม โดยเน้นมุมมองที่ครอบคลุม
หลีกเลี่ยงการย้อนแสง: อย่าให้กล้องหันตรงเข้าหาแหล่งกำเนิดแสงที่สว่างจ้า เช่น ดวงอาทิตย์ หรือหลอดไฟโดยตรง เพราะจะทำให้ภาพมืด

มุมมอง (Field of View):
มุมกว้าง (Wide Angle): เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ลานจอดรถ, โถงบ้าน
มุมแคบ/ซูม (Narrow Angle/Zoom): เหมาะสำหรับจุดที่ต้องการรายละเอียด เช่น หน้าประตูเพื่อจับภาพใบหน้า

การเชื่อมต่อและแหล่งจ่ายไฟ:
แบบมีสาย (Wired): เสถียรกว่า แต่ต้องวางแผนเดินสายไฟและสายสัญญาณ
ไร้สาย (Wireless/Wi-Fi): ติดตั้งง่ายกว่า แต่ต้องมีสัญญาณ Wi-Fi ที่เสถียร และอาจต้องมีปลั๊กไฟใกล้เคียง (สำหรับกล้องไร้สายส่วนใหญ่) หรือพิจารณากล้องที่ใช้แบตเตอรี่

การป้องกันการถูกทำลาย/บดบัง:
ติดตั้งในตำแหน่งที่ยากต่อการถูกปีนเข้าถึง หรือใช้ไม้เขี่ย
พิจารณากล้องที่ทนทานต่อการทุบทำลาย (Vandal-proof)
ตรวจสอบว่าไม่มีต้นไม้ กิ่งไม้ หรือสิ่งกีดขวางที่จะบดบังมุมมองกล้องเมื่อเวลาผ่านไป

ความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืน (Night Vision):
กล้องควรมีอินฟราเรด (IR) หรือเทคโนโลยี Starlight/Low Light เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนในเวลากลางคืน

การบันทึกเสียง (Audio Recording):
บางกล้องมีไมโครโฟนในตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม แต่ต้องตรวจสอบกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวในการบันทึกเสียง

การเข้าถึงระยะไกล (Remote Access):
เลือกกล้องที่สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เพื่อให้สามารถดูภาพสดและย้อนหลังได้จากทุกที่

การวางแผนการติดตั้งกล้องวงจรปิดอย่างรอบคอบจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยภายในบ้านได้อย่างแท้จริงครับ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม.

15
doctor at home: ปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia)

ปอดอักเสบ (ปอดบวม นิวโมเนีย ก็เรียก) หมายถึง การอักเสบของเนื้อปอด (ซึ่งประกอบด้วย ถุงลมปอดและเนื้อเยื่อโดยรอบ) ทำให้ปอดทำหน้าที่ได้น้อยลง เกิดอาการหายใจหอบเหนื่อย และอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

โรคนี้เกิดจากสาเหตุที่หลากหลาย จึงมีอาการแสดงและความรุนแรงในลักษณะต่าง ๆ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปและคนทุกวัย มีโอกาสพบมากขึ้นในบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (เช่น หลอดลมพอง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมปอดโป่งพอง โรคหืดเรื้อรัง) หรือหัวใจวายเรื้อรัง ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักน้อย เด็กขาดอาหาร ผู้ที่กินยาสเตียรอยด์ประจำ ผู้ป่วยเอดส์ เบาหวาน ตับแข็ง ไตวายเรื้อรัง มะเร็ง เป็นต้น

อาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส โรคมือ-เท้า-ปาก ไอกรน ทอนซิลอักเสบ หลอดอักเสบ ครู้ป หลอดลมพอง หลอดลมฝอยอักเสบ และโรคติดเชื้อของระบบอื่น (เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น)

ผู้ป่วยที่ฉีดยาด้วยเข็มที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ (เช่น ฉีดยาเสพติด) ก็มีโอกาสติดเชื้อสแตฟีโลค็อกคัสกลายเป็นโรคปอดอักเสบชนิดร้ายแรงได้

บางครั้งอาจพบในผู้ที่สำลักสารเคมี (ที่สำคัญคือ น้ำมัน เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน) น้ำย่อยในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน น้ำและสิ่งปนเปื้อน (ในผู้ป่วยจมน้ำ) หรือเศษอาหาร (ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอัมพาต ลมชัก หมดสติ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ทำให้ปอดอักเสบ จากการระคายเคืองของสารเคมี หรือการติดเชื้อ เรียกว่าปอดอักเสบจากการสำลัก (aspiration pneumonia)

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ส่วนน้อยเกิดจากสารเคมี การติดเชื้อที่สำคัญ มีดังนี้ 

    การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อที่เป็นสาเหตุของปอดอักเสบที่พบได้บ่อยสุดในคนทุกวัยได้แก่ เชื้อปอดบวม ที่มีชื่อว่า นิวโมค็อกคัส (pneumococcus) หรือ สเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย (Streptococcus pneumoniae) มักทำให้เกิดอาการปอดอักเสบเฉียบพลันและรุนแรง

นอกจากนี้อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ เช่น อีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ (Hemophilus influenzae) ซึ่งเป็นสาเหตุของปอดอักเสบในทารกและผู้ป่วยหลอดลมอักเสบเรื้อรัง สแตฟีโลค็อกคัสออเรียส (Staphylococcus aureus) ซึ่งทำให้เกิดปอดอักเสบชนิดร้ายแรง พบบ่อยในผู้ที่ฉีดยาเสพติดด้วยเข็มที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ และอาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่ เชื้อเคล็บซิลลา (Klebsiella pneumoniae) ซึ่งทำให้เป็นปอดอักเสบชนิดร้ายแรงในผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด กลุ่มแบคทีเรียที่ไม่พึ่งออกซิเจน (anaerobes) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปอดอักเสบจากการสำลัก เชื้อลีจันเนลลา (Legionella) ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปตามระบบปรับอากาศ (เช่น ห้องพักในโรงแรม หรือโรงพยาบาล) เชื้อเมลิออยโดซิส ซึ่งพบมากทางภาคอีสาน เชื้อคลามีเดีย (Chlamydia pneumoniae) ซึ่งพบบ่อยในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว เป็นต้น
 
    การติดเชื้อไมโคพลาสมานิวโมเนีย (Mycoplasma pneumoniae) ซึ่งเป็นเชื้อคล้ายแบคทีเรียแต่ไม่มีผนังเชลล์ จัดว่าอยู่ก้ำกึ่งระหว่างไวรัสกับแบคทีเรีย มักทำให้เกิดปอดอักเสบที่มีอาการไม่ชัดเจน (มีอาการไข้ ไอ ปวดเมื่อย คล้ายไข้หวัดใหญ่หรือหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน โดยไม่มีอาการหอบรุนแรง การตรวจฟังปอดในระยะแรกมักไม่พบเสียงผิดปกติ)* มักพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว ถ้าพบในคนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ อาจมีอาการรุนแรงบางครั้งพบมีการระบาด

    การติดเชื้อไวรัส ที่พบบ่อย ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) อีสุกอีใส-งูสวัด (varicella-zoster/virus) ไวรัสอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) ไวรัสค็อกแซกกี (coxsackie virus) ไวรัสเริม (herpes simplex virus/HSV) ไวรัสโคโรนาสัมพันธ์กับโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงชนิดที่ 2 (SARS-CoV-2 เรียกสั้น ๆ ว่า "ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019" หรือ "ไวรัสโควิด-19") เป็นต้น

    การติดเชื้อรา ที่สำคัญได้แก่ นิวโมซิสติสคาริไน (Pneumocystis carinii)** ที่เป็นสาเหตุของปอดอักเสบในผู้ป่วยเอดส์ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากเชื้อราอื่น ๆ เช่น Histoplasma capsulatum‚ Blastomyces dermatitidis‚ Coccidioides immites‚ Cryptococcus‚ Aspergillus เป็นต้น

การติดต่อ เชื้อโรคและสารก่อโรคสามารถเข้าสู่ปอดโดยทางใดทางหนึ่ง ดังนี้

ก. ทางเดินหายใจ โดยการสูดเอาเชื้อโรคที่แพร่กระจายมาทางอากาศ (ถูกไอ จามใส่) หรือเชื้อที่อยู่เป็นปกติวิสัย (normal flora) ในช่องปากและคอหอย (เช่น สเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซกลุ่มแบคทีเรียที่ไม่พึ่งออกซิเจน) ลงไปในปอด

ข. การสำลัก เอาสารเคมี (น้ำมัน) น้ำย่อย น้ำ (จมน้ำ) หรือเศษอาหารเข้าไปในปอด การอักเสบนอกจากเกิดจากสารระคายเคืองแล้ว ยังอาจเกิดจากเชื้อโรคที่อยู่ในช่องปากและคอหอยที่ถูกสำลักลงไปในปอด

ค. การแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด ได้แก่ การฉีดยาหรือให้น้ำเกลือที่มีการแปดเปื้อนเชื้อ การติด เชื้อในอวัยวะส่วนอื่น เช่น สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส ภาวะโลหิตเป็นพิษ เป็นต้น

* เดิมนิยมเรียกว่า ปอดอักเสบนอกแบบ (atypical pneumonia) เนื่องจากอาการไม่เหมือนปอดอักเสบจากนิวโมค็อกคัส (ที่จัดเป็น typical pneumonia) นอกจากไมโคพลาสมาแล้ว ปอดอักเสบนอกแบบยังอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ เชื้อchlamydia, เชื้อlegionella

ปัจจุบันพบว่า เชื้อโรคทุกชนิดสามารถทำให้เกิดปอดอักเสบที่มีอาการทั้งที่รุนแรง (typical) และไม่รุนแรง (atypical) ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ขึ้นกับระยะและความรุนแรงของการติดเชื้อ

** ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า นิวโมซิสติสจิโรเวซิ (Pneumocystis jiroveci) และจัดอยู่ในกลุ่มเชื้อรา ไม่ใช่โปรโตซัวที่เคยเข้าใจแต่เดิม


อาการ

มักมีอาการไข้ ไอ เจ็บหน้าอก และหอบเหนื่อย เป็นสำคัญ

ส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะเกิดจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย หรือฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ) มักมีอาการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้นหรือไข้หวัดนำมาก่อน

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ปวดท้อง ท้องเดิน เบื่ออาหารอาเจียน ร่วมด้วย

อาการไข้มักเกิดขึ้นฉับพลัน อาจมีลักษณะไอเป็นพัก ๆ หรือไข้ตลอดเวลา บางรายก่อนมีไข้ขึ้น อาจมีอาการหนาวสั่นมาก (ซึ่งมักจะเป็นเพียงครั้งเดียวในช่วงแรก ๆ)

อาการไอ ในระยะแรกมีลักษณะไอแห้ง ๆ ต่อมาจะมีเสมหะขาวหรือขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว บางรายอาจมีสีสนิมเหล็กหรือเลือดปน

บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอก แบบเจ็บแปลบเวลาหายใจเข้าหรือเวลาไอแรง ๆ ตรงบริเวณที่มีการอักเสบของปอด บางครั้งอาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่สีข้าง หรือท้อง

ผู้ป่วยมักมีอาการหอบเหนื่อย หายใจเร็ว ถ้าเป็นมากอาจมีอาการปากเขียว ตัวเขียว ในรายที่เป็นไม่มากอาจไม่มีอาการหอบเหนื่อยชัดเจน

ในผู้สูงอายุ อาจมีอาการซึม สับสน และไม่มีไข้

ในทารกหรือเด็กเล็ก อาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด อาเจียน ท้องเดิน ซึม ร้องกวน ไม่ดูดนม ร่วมด้วยบางรายอาจมีอาการชักจากไข้

ในรายที่เป็นปอดอักเสบจากภาวะแทรกซ้อนของโรคติดเชื้ออื่น ๆ ก็มักมีอาการของโรคติดเชื้ออื่น ๆ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส ไอกรน สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น) นำมาก่อน

ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เป็นฝีในปอด (lung abscess) ภาวะมีน้ำหรือหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด  ปอดแฟบ (atelectasis) หลอดลมพอง

เชื้ออาจแพร่เข้าสู่กระแสเลือด กลายเป็นโลหิตเป็นพิษ สมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) เยื่อบุหัวใจอักเสบ (endocarditis) เยื่อหุ้มช่องท้องอักเสบ ข้ออักเสบติดเชื้อเฉียบพลัน เป็นต้น

ที่ร้ายแรง ได้แก่ กลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome) ภาวะการหายใจล้มเหลว (respiratory failure) และภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อ (septic shock) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

มักตรวจพบไข้ (39-40 องศาเซลเซียส) บางรายอาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้

ในรายที่เป็นมาก จะมีอาการหายใจเร็วมากกว่า 30-40 ครั้ง/นาที (เด็กอายุ 0-2 เดือน หายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปี มากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปี มากกว่า 40 ครั้ง/นาที) ซี่โครงบุ๋ม รูจมูกบาน อาจมีอาการตัวเขียว (ริมฝีปาก ลิ้น และเล็บเขียว) และภาวะขาดน้ำ

การใช้เครื่องฟังตรวจปอดมักมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ซึ่งมักได้ยินตรงบริเวณใต้สะบัก (ปอดส่วนล่าง) ข้างหนึ่งหรือ 2 ข้าง บางรายอาจได้ยินเสียงอึ๊ด (rhonchi) หรือเสียงวี้ด (wheezing) เฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่ง

บางรายอาจพบอาการเคาะทึบ (dullness) และใช้เครื่องฟังตรวจได้ยินเสียงหายใจค่อย (diminished breath sound) ที่ปอดข้างใดข้างหนึ่ง

บางรายอาจพบอาการของโรคติดเชื้ออื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เริมที่ริมฝีปาก ผื่นของหัด อีสุกอีใส หรือโรคมือ-เท้า-ปาก เป็นต้น

ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อไมโคพลาสมาหรือคลามีเดีย อาจมีผื่นตามผิวหนังร่วมด้วย ส่วนการตรวจฟังปอดในระยะแรกอาจไม่พบเสียงผิดปกติก็ได้

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ (โดยการย้อมเสมหะ เพาะเชื้อจากเสมหะ เพาะเชื้อจากเลือด) ตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์และออกซิเจนในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่ก่อน และมีอาการในระยะแรกเริ่ม (หายใจเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ไม่มีอาการซี่โครงบุ๋ม หรือตัวเขียว) ให้การรักษาเบื้องต้นด้วยยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลินวี, อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น) และให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ควรติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด

ถ้าอาการดีขึ้นใน 3 วัน ควรให้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันนาน 10-14 วัน ถ้าไม่ดีขึ้น หรือมีอาการหอบมากขึ้น ควรส่งโรงพยาบาล

2. ถ้าพบในทารก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคทางปอดหรือโรคหัวใจอยู่ก่อน ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ตัวเขียว สับสน หรือซึม แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลให้การรักษาตามอาการ และรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ให้ออกซิเจน น้ำเกลือ ยาลดไข้) และเลือกให้ยาต้านจุลชีพ (ยาปฏิชีวนะ ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา) ตามชนิดของเชื้อที่พบ

ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของเชื้อและความรุนแรงของโรค ในรายที่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกส่วนใหญ่มักจะหายเป็นปกติ และไม่มีภาวะแทรกซ้อนตามมา

แต่ถ้าปล่อยให้มีอาการรุนแรง หรือติดเชื้อชนิดร้ายแรง (เช่น สแตฟีโลค็อกคัส เคล็บซิลลา) หรือพบในทารก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็มักจะมีภาวะแทรกซ้อน และมีอัตราตายค่อนข้างสูง


การดูแลตนเอง

หากมีอาการไข้ หายใจหอบ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหายใจเร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือน หายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปี หายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปี หายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

เมื่อตรวจพบว่าเป็นปอดอักเสบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

1. ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่

2. อย่าฉีดยาด้วยเข็มและกระบอกฉีดยาที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ

3. อย่าอมน้ำมันเล่น ควรเก็บน้ำมันให้ห่างมือเด็ก

4. ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน หัด อีสุกอีใส แก่เด็กทุกคน ในรายที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันการติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย หรือนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine)

5. เมื่อเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส เป็นต้น ควรดูแลรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ

6. ป้องกันมิให้เป็นโรคทางปอดเรื้อรัง (หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมปอดโป่งพอง) โดยการไม่สูบบุหรี่


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการไข้ ไอ และหอบ มักมีสาเหตุจากปอดอักเสบ แต่ก็อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ได้

2. ผู้ที่เป็นปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมานิวโมเนีย ซึ่งพบบ่อยในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว มักมีอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะ มักจะไอรุนแรง แต่ไม่มีอาการหายใจหอบรุนแรง (ส่วนน้อยที่มีอาการหายใจหอบรุนแรง) ทำให้ดูคล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่ และหลอดลมอักเสบ อาการจะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป มักจะเป็นอยู่นาน 1-2 สัปดาห์ มักตอบสนองต่อการรักษาได้ดี บางคนอาจหายได้เองโดยไม่ได้รับการรักษา แต่หลังจากหายจากไข้แล้ว อาจมีอาการไอและอ่อนเพลียต่อไปอีกหลายสัปดาห์ถึง 3 เดือน

3. โรคนี้แม้ว่าจะมีอันตรายร้ายแรง แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะหายขาดได้ ดังนั้น หากสงสัยผู้ป่วยเป็นโรคนี้ควรรีบให้ยาปฏิชีวนะ ติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการหอบรุนแรง พบในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรือไม่มั่นใจควรส่งไปโรงพยาบาลทันที

4. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

หน้า: [1] 2 3 ... 30