เครื่องจักรอุตสาหกรรม ลงประกาศขายฟรี

หมวดหมู่ทั่วไป => เว็บบอร์ดโพสฟรี ฝากขายฟรี โฆษณาออนไลน์ฟรี โฆษณาฟรี โพสต์ฟรี ตลาดออนไลน์ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2025, 21:32:21 น.

หัวข้อ: Doctor At Home: ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis)
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2025, 21:32:21 น.
Doctor At Home: ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) (https://doctorathome.com/)

ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทุกวัย เกิดจากการอักเสบของช่องคลอด ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ หรือความไม่สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด ทำให้มีอาการผิดปกติต่างๆ เกิดขึ้น

สาเหตุหลักของช่องคลอดอักเสบ

ช่องคลอดอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ โดยสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่:

ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis - BV): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด โดยแบคทีเรียชนิดดี (Lactobacilli) ลดลง และแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดเจริญเติบโตมากเกินไป
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Yeast Infection / Candidiasis): เกิดจากการติดเชื้อราในกลุ่ม Candida โดยเฉพาะ Candida albicans ซึ่งปกติมีอยู่ในช่องคลอดอยู่แล้ว แต่เมื่อมีภาวะสมดุลเปลี่ยนไป เชื้อราจะเจริญเติบโตมากเกินไป
ช่องคลอดอักเสบจากพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis): เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวชื่อ Trichomonas vaginalis ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สาเหตุอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อ:

ช่องคลอดอักเสบจากความระคายเคือง/แพ้ (Non-infectious Vaginitis / Irritant Vaginitis): เกิดจากการแพ้หรือระคายเคืองต่อสารเคมีบางอย่าง เช่น สบู่, น้ำหอม, น้ำยาซักผ้า, แผ่นอนามัย, ผ้าอนามัย, สเปรย์ฉีดจุดซ่อนเร้น
ช่องคลอดอักเสบจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน (Atrophic Vaginitis): มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่มีภาวะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ผนังช่องคลอดบาง แห้ง และอักเสบได้ง่าย
การมีสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด: เช่น การลืมผ้าอนามัยแบบสอดไว้ในช่องคลอด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดช่องคลอดอักเสบ
การสวนล้างช่องคลอด: เป็นการทำลายแบคทีเรียดีในช่องคลอด ทำให้เสียสมดุล
การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่มีน้ำหอมหรือสารเคมีรุนแรง
การใส่กางเกงรัดรูป หรือชุดชั้นในที่อับชื้น ไม่ระบายอากาศ
การใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน: ยาปฏิชีวนะอาจทำลายแบคทีเรียดีในช่องคลอด
การมีเพศสัมพันธ์: โดยเฉพาะการมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (สำหรับสาเหตุที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์)
การตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เสี่ยงต่อการอักเสบ

การใส่ห่วงคุมกำเนิด
ภาวะภูมิต้านทานต่ำ: เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน

อาการของช่องคลอดอักเสบ
อาการของช่องคลอดอักเสบจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุ แต่โดยทั่วไปที่พบบ่อยได้แก่:

ตกขาวผิดปกติ:

จากเชื้อแบคทีเรีย: ตกขาวมีสีเทาอมขาว หรือขาวขุ่น มีลักษณะเป็นน้ำ มีกลิ่นคาวคล้ายปลาเน่า โดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์หรือหลังหมดประจำเดือน
จากเชื้อรา: ตกขาวมีสีขาวข้นคล้ายนมบูด หรือคราบแป้ง อาจไม่มีกลิ่น
จากพยาธิในช่องคลอด: ตกขาวมีสีเหลืองปนเขียว มีฟอง และมีกลิ่นเหม็นคาว
อาการคัน: รู้สึกคันอย่างรุนแรงบริเวณช่องคลอดและอวัยวะเพศภายนอก โดยเฉพาะในกรณีติดเชื้อรา

แสบหรือระคายเคือง: รู้สึกแสบร้อนหรือระคายเคืองบริเวณช่องคลอด

ปวดแสบขณะปัสสาวะ: หรือขณะมีเพศสัมพันธ์

เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

ช่องคลอดบวมแดง

การวินิจฉัย
หากมีอาการสงสัยว่าช่องคลอดอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ (สูตินรีแพทย์) เพื่อทำการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แพทย์จะ:

ซักประวัติ: สอบถามอาการ, ประวัติสุขภาพ, ประวัติเพศสัมพันธ์
ตรวจภายใน: เพื่อดูสภาพช่องคลอด ปากมดลูก และลักษณะตกขาว
เก็บตัวอย่างตกขาว: เพื่อนำไปตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์ หรือเพาะเชื้อ เพื่อระบุชนิดของเชื้อที่ก่อโรค
วัดค่า pH ของช่องคลอด: เพื่อช่วยในการวินิจฉัยเบื้องต้น

การรักษา

การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของการอักเสบ:

ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย: รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole (ชนิดเม็ดหรือเจล/ครีมสอดช่องคลอด) หรือ Clindamycin (ชนิดเม็ดหรือครีมสอดช่องคลอด)
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา: รักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีทั้งแบบยาเหน็บช่องคลอด หรือยาเม็ดรับประทาน เช่น Fluconazole
ช่องคลอดอักเสบจากพยาธิในช่องคลอด: รักษาด้วยยา Metronidazole หรือ Tinidazole ชนิดเม็ดรับประทาน และควรให้คู่สมรสได้รับการรักษาด้วย
ช่องคลอดอักเสบจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน: รักษาด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนรูปแบบครีมสอดช่องคลอด หรือยาเม็ดสอดช่องคลอด


คำแนะนำเพิ่มเติม:

ห้ามซื้อยามาใช้เอง: เพราะอาจวินิจฉัยผิดพลาด และทำให้การรักษาไม่ได้ผล หรือเกิดอาการดื้อยาได้
งดการมีเพศสัมพันธ์: ในระหว่างการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำหรือการระคายเคือง
รักษาคู่สมรส: หากสาเหตุมาจากการติดเชื้อติดต่อทางเพศสัมพันธ์


การป้องกันช่องคลอดอักเสบ
ไม่สวนล้างช่องคลอด: ปล่อยให้ช่องคลอดทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติ
ทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอกอย่างถูกวิธี: ใช้น้ำเปล่าสะอาด หรือผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม เช็ดจากหน้าไปหลังเสมอหลังเข้าห้องน้ำ
สวมชุดชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี: เลือกชุดชั้นในผ้าฝ้าย และหลีกเลี่ยงกางเกงที่รัดแน่นเกินไป
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม: เช่น แผ่นอนามัย, ผ้าอนามัย, สเปรย์ฉีดจุดซ่อนเร้นที่มีน้ำหอม
เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ: ในช่วงมีประจำเดือน
มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย: ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง: พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

หากคุณมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นช่องคลอดอักเสบ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีของช่องคลอดค่ะ