แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 38
1
เมนูแนะนำทำขายเป็นอาชีพเสริม แกงไก่หน่อไม้สด เครื่องเยอะหอมอร่อยเข้มข้นตำรับไทย ทำง่ายกว่าที่คิด

แกงไก่หน่อไม้สดอาหารจานนี้ผสมผสานเนื้อไก่นุ่ม พริกแกงหอมกรุ่น กะทิเข้มข้นและความกรุบกรอบของหน่อไม้ นอกจากรสชาติอร่อยแล้ว ยังทำง่ายอย่างน่าประหลาดใจ จึงเป็นตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับผู้ที่ต้องการลิ้มรสชาติอาหารไทยต้นตำรับที่บ้าน สามารถใช้หน่อไม้ดองแทนหน่อไม้สดได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องล้างน้ำหลายรอบ

ทำไมต้องเลือกแกงไก่หน่อไม้?
รสชาติเข้มข้น : เครื่องแกงให้รสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นหอม ในขณะที่กะทิช่วยปรับสมดุลด้วยความครีมมี่
มีคุณค่าทางโภชนาการ : หน่อไม้มีแคลอรี่ต่ำ แต่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ
ปรุงรวดเร็ว : เพียงแค่มีส่วนผสมไม่กี่อย่าง คุณสามารถเตรียมอาหารจานนี้ได้ภายใน 30 นาที
อเนกประสงค์ : คุณสามารถปรับระดับความเผ็ด เปลี่ยนไก่เป็นหมูหรือเต้าหู้ และแม้กระทั่งเพิ่มผักอื่นๆ เช่น มะเขือยาว เห็ด หรือถั่วเขียว

ส่วนผสมที่คุณต้องใช้
ไก่ 300 กรัม (สะโพกหรืออก หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ)
หน่อไม้สด 200 กรัม (หั่นเป็นแว่นบางๆ)
พริกแกงแดง 2 ช้อนโต๊ะ (ปรับตามชอบ)
กะทิ 400 มล.
น้ำเปล่าหรือน้ำสต๊อกไก่ 1 ถ้วย
ใบมะกรูด 2 ใบ (ฉีกเพื่อเพิ่มความหอม)
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 ช้อนชา (ใช้น้ำตาลปาล์มจะดีกว่า)
ใบโหระพาหนึ่งกำมือ
พริกแดง 1–2 เม็ด (ไม่จำเป็น เพื่อความเผ็ดร้อนยิ่งขึ้น)

คำแนะนำในการปรุงอาหารแบบทีละขั้นตอน
เตรียมฐานแกง : ตั้งหม้อหรือกระทะก้นลึกให้ร้อน ใส่กะทิลงไปเล็กน้อย ผัดพริกแกงแดงจนหอม
การปรุงไก่ : ใส่ไก่ลงไปผัดจนสุกด้วยน้ำพริกแกง
ใส่หน่อไม้ : ผสมหน่อไม้สดลงไปแล้วปรุงต่ออีกสักครู่
เทกะทิลงไป : เติมกะทิที่เหลือและน้ำเปล่าหรือน้ำสต๊อกหนึ่งถ้วย คนให้เข้ากันแล้วนำไปต้มจนเดือดเบาๆ
ปรุงรสแกง : เติมน้ำปลา น้ำตาล และใบมะกรูด ชิมรสและปรุงรสตามชอบ
ปรุงรสด้วยสมุนไพร : ปิดไฟแล้วใส่ใบโหระพาสดลงไปผัด ถ้าชอบเผ็ดมากก็ใส่พริกแดงซอยลงไป
เสิร์ฟร้อน : จับคู่กับข้าวหอมมะลินึ่งเพื่อมื้ออาหารที่น่าพึงพอใจ

เคล็ดลับการทำอาหาร
หากคุณไม่สามารถหาหน่อไม้สดได้ หน่อไม้กระป๋องก็ใช้แทนได้ แต่ต้องล้างให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร
หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น ควรเคี่ยวแกงนานขึ้นเพื่อให้ไก่ดูดซับเครื่องเทศ

เคล็ดลับความอร่อย:
ควรผัดเครื่องแกงกับหัวกะทิให้แตกมันก่อนใส่ไก่ จะทำให้แกงหอมน่ากินมากยิ่งขึ้น
หากชอบรสเผ็ดเพิ่ม สามารถใส่พริกขี้หนูเพิ่มได้
สามารถใช้หน่อไม้ดองแทนหน่อไม้สดได้เช่นกันแต่อาจจะต้องล้างน้ำหลายรอบ

ปรุงรสแกงตามความชอบ
อาหารจานเด็ดสำหรับทุกโอกาส
แกงไก่หน่อไม้สดไม่เพียงแต่เป็นอาหารหลักในครัวเรือนของคนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเมนูที่สร้างความใกล้ชิดสนิทสนมในครอบครัวและเพื่อนฝูงอีกด้วย ด้วยสีสันที่สดใส กลิ่นหอมชวนรับประทาน และรสชาติที่จัดจ้าน ทำให้แกงไก่หน่อไม้สดนี้เหมาะสำหรับทั้งมื้ออาหารประจำวันและงานสังสรรค์สุดพิเศษ

ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดทำอาหารไทยหรือเป็นแฟนพันธุ์แท้อยู่แล้ว อาหารจานนี้ก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสำรวจรสชาติต้นตำรับได้ด้วยตัวเองในครัวของคุณ ด้วยส่วนผสมและขั้นตอนง่ายๆ คุณจะได้แกงรสเข้มข้นที่อุ่นทั้งท้องและหัวใจ


2
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


3
เด็กควรจัดฟันเด็ก ตั้งแต่อายุเท่าไหร่

การจัดฟัน เป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่องของการเรียงตัวของฟัน รวมไปถึงปัญหาฟันสบกันผิดปกติ ฟันซ้อนเก ทำให้มีอุปสรรคในการรับประทานอาหาร รวมไปถึงการเข้าสังคมและยังทำให้มีรอยยิ้มที่ไม่สวยงาม ซึ่งจะเป็นปัญหาในระยะยาวแต่ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ การจัดฟันเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันนอกจากจะแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก การจัดฟันยังช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าของผู้เข้ารับการจัดฟันให้เข้ารูปได้อีกด้วย

ดังนั้นการจัดฟันจึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดีขึ้นได้การจัดฟันเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของฟัน ด้วยการใช้เครื่องมือทั้งภายนอกและภายในช่องปากเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการปรับแต่งโครงสร้างของฟันใหม่อย่างช้าๆ โดยปกติแล้วการเคลื่อนของตัวฟันจะมีอัตรา 1 มิลลิเมตรต่อ 1 เดือนนอกจากนี้หลายคนสงสัยว่าทำไมจะต้องเข้ารับการจัดฟันต้องบอกก่อนว่า เนื่องจากฟันของแต่ละคนมีขนาดรูปร่างและการเรียงตัวที่แตกต่างกัน โดยจะมีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด โดยบางครั้งฟันอาจเรียงตัวไม่เหมาะสม จนทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก เช่น สามารถทำความสะอาดฟันได้ลำบากและไม่มีประสิทธิภาพมี ปัญหาในเรื่องของการบดเคี้ยวอาหาร ซึ่งการจัดฟันจะเป็นตัวช่วยทำให้สุขภาพช่องปากและฟันดีขึ้น ช่วยในการบดเคี้ยวอาหารที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและยังลดอัตราเสี่ยงในการเกิดฟันผุหรือการเกิดโรคเหงือกอักเสบได้

และในปัจจุบันมีการพัฒนาในเรื่องของการจัดฟัน ให้มีการจัดฟันในเด็กซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นปกติที่พ่อแม่ผู้ปกครองอยากจะ ให้บุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากที่ดี มีฟันสวยและสามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจ ซึ่งโดยปกติพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรจะพาเด็กเด็กหรือบุตรหลานไปพบทันตแพทย์ เพื่อทำการตรวจช่องปากเป็นประจำทุกปีเนื่องจากสุขภาพฟันของเด็กนั้นยังมีฟันน้ำนมอยู่ การสูญเสียฟันน้ำนมก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน เพราะจะมีผลต่อการขึ้นของฟันแท้

หากเด็กเด็กตรวจพบว่ามีการสบฟันที่มีความผิดปกติตั้งแต่ยังเด็กสามารถแก้ไขได้ด้วยการ จัดฟันเพื่อทำให้ป้องกันการเกิดปัญหาการขึ้นของฟันแท้นั่นเอง วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ซึ่งประเด็นของวันนี้ก็คือ การจัดฟันในเด็กนั้น ควรทำตั้งแต่อายุเท่าไหร่ การจัดฟันแบบเบื้องต้นในเด็กนั้นอาจไม่ได้จำเป็นต่อเด็กทุกคน แต่จะเป็นการดีกว่า หากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปตรวจกับทันตแพทย์ เพื่อเข้ารับการจัดฟันและสามารถทำได้ในช่วงอายุ7- 10 ปีและหากพบสัญญาณความผิดปกติ ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในขณะที่ฟันแท้กำลังขึ้นเพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของการขึ้นของฟันแท้ได้

สำหรับการจัดฟันในเด็ก หลายคนสงสัยว่ามีประโยชน์อย่างไรและจัดฟันทั้งทั้งที่เด็กยังมีฟันน้ำนมอยู่นั้นสามารถทำได้ ด้วยหรือ ต้องบอกก่อนว่าการจัดฟันนั้นไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปากและฟันและความสวยงามของการเรียงตัวของฟัน นอกเหนือจากเรื่องของรอยยิ้มที่จะทำให้มีความสวยงามมีความมั่นใจแล้วการจัดฟันยังจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่าง เช่น เมื่อมีฟันที่เรียงตัวกันสวยงาม เด็กก็จะแปรงฟันได้ง่ายขึ้น สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่ เรื่องของความสะอาดภายในช่องปาก ถือเป็นเรื่องสุขอนามัยเบื้องต้นที่จะเด็กจะต้องปฏิบัติ นอกจากนั้นทันตแพทย์ผู้ทำการจัดฟัน อาจมีส่วนช่วยหาทางบำบัดพฤติกรรมเด็กที่ติดการดูดนิ้ว ซึ่งสร้างผลเสียต่อสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคตได้ ทั้งยังมีปัญหาในเรื่องของการออกเสียง การหายใจและการเคี้ยวอาหารนั่นเอง

อย่างไรก็ตามหากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดมีความสนใจและต้องการที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถขอรับคำแนะนำได้จากทางคลินิก ได้ ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ด้วยการการันตีถึงประสบการณ์อันยาวนานมากกว่า 10 ปี จะทำให้มั่นใจว่าบุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งนี้ทางคลินิกยังมีบริการทางด้านทันตกรรมอย่างครบวงจรหากพ่อแม่ผู้ปกครองมีความสนใจที่จะเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันก็สามารถขอเข้ารับคำแนะนำได้

4
หมอประจำบ้าน: โรคพยาธิตัวตืด (Taeniasis)

โรคพยาธิตัวตืดเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวตืด*ในเนื้อหมูและเนื้อวัว

ในบ้านเราพบโรคพยาธิตัวตืดในภาคอีสานมากกว่าภาคอื่น ๆ เนื่องเพราะคนในภาคนี้ยังนิยมกินเนื้อดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ลาบหมู ลาบเนื้อ ยำเนื้อ พล่าเนื้อ หมูแหนม เป็นต้น และพบเป็นโรคพยาธิตืดวัว มากกว่าตืดหมู

พยาธิตัวตืด หรือพยาธิตัวแบน (tape worm) ที่พบบ่อยได้แก่ พยาธิตืดวัว (Taenia saginata) กับพยาธิตืดหมู (Taenia solium) พยาธิตัวเต็มวัย (ตัวแก่) ซึ่งมีความยาวประมาณ 3 เมตร ประกอบด้วยปล้องจำนวนมากมาย อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคน ปล้องของพยาธิจะหลุดออกมากับอุจจาระหรือออกมาเอง แล้วแตกซึ่งจะปล่อยไข่ (ปล้องหนึ่ง ๆ มีไข่เป็นพันเป็นหมื่นฟอง) กระจายอยู่บนพื้นดินหรือพื้นหญ้า เมื่อวัว (หรือหมู) กินไข่ตัวตืดวัว (หรือตืดหมู) ที่ออกจากอุจจาระคนเข้าไป ตัวอ่อนจะฟักในลำไส้และไชเข้ากระแสเลือด ไปอยู่ตามกล้ามเนื้อทั่วร่างกายโดยมีถุงหรือซิสต์ (cyst) หุ้ม เป็นถุงเล็ก ๆ ขาว ๆ คล้ายเม็ดสาคู ซึ่งเรียกว่า เนื้อสาคู (หรือหมูสาคู) ถ้าคนกินเนื้อ (หรือหมู) สาคูเข้าไป ตัวอ่อนก็จะไปเจริญเป็นตัวเต็มวัยต่อไป

แต่ถ้าคนกินไข่ของตืดหมู (ที่ออกจากอุจจาระผู้ป่วย) ซึ่งปนเปื้อนตามมือ ผัก หรืออาหาร หรือตัวผู้ป่วยเองเกิดอาเจียนขย้อนเอาไข่ที่อยู่ในปล้องแก่ของพยาธิขึ้นมาอยู่ในกระเพาะอาหาร ตัวอ่อนก็จะฟักตัวออกจากไข่ แล้วไชเข้ากระแสเลือดกลายเป็นซิสต์กระจายไปอยู่ตามเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมู (cysticercosis) อาจอยู่ในกล้ามเนื้อและสมอง (แต่ถ้าคนกินไข่ของตืดวัว ตัวอ่อนที่ฟักออกมาจะตายไป ไม่เกิดอันตรายเหมือนกินตืดหมู)

สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากการกินเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มีซิสต์ (เนื้อสาคูหรือหมูสาคู) แบบดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ หรือกลืนไข่ตัวตืดหมูที่ปนเปื้อนผัก อาหาร หรือมือ

อาการ

ถ้าเป็นโรคพยาธิตัวตืดในลำไส้ โดยทั่วไปจะไม่มีอาการรุนแรง เพียงแต่เวลาถ่ายอุจจาระมีปล้องพยาธิคล้ายเส้นบะหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวหลุดออกมาเป็นท่อน ๆ เป็นครั้งคราว บางรายอาจมีอาการหิวบ่อย กินจุแต่ผอม อ่อนเพลีย น้ำหนักลด อาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระบ่อย การตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบไข่ของพยาธิตัวตืด

บางรายอาจมีอาการแพ้ เป็นลมพิษได้

แต่ถ้ากินไข่ของตืดหมูเข้าไป จะเกิดมีตุ่มซิสต์ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวกระจายอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย ถ้าไปอยู่ในตา เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมูในตา (ocular cysticercosis) อาจทำให้เยื่อตาขาวอักเสบ ม่านตาอักเสบ ประสาทตาอักเสบ อาจทำให้ตาบอดได้ ถ้าไปอยู่ในสมอง เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมูในสมอง (cerebral cysticercosis) อาจทำให้มีอาการชักแบบลมบ้าหมู แขนขาเป็นอัมพาต มีอาการทางจิตประสาท หรือปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนได้


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดการอุดกั้นไส้ติ่ง (ทำให้ไส้ติ่งอักเสบ) หรืออุดกั้นทางเดินน้ำดี (ทำให้ดีซ่าน)

ถ้ากลายเป็นโรคซิสต์พยาธิตืดหมูในตาหรือในสมอง อาจทำให้ตาบอด หรือมีความผิดปกติของสมอง เช่น โรคลมชัก อัมพาต โรคจิตประสาท เป็นต้น

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจอุจจาระ ตรวจเลือด เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวนด์

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบปล้องของพยาธิตัวตืดหลุดปนมากับอุจจาระ หรือตรวจพบไข่พยาธิตัวตืดในอุจจาระ ให้กินยาฆ่าพยาธิ เช่น มีเบนดาโซล, นิโคลซาไมด์, อัลเบนดาโซล, พราซิควานเทล เป็นต้น

ถ้าสงสัยเป็นโรคพยาธิตืดหมู หลังกินยาฆ่าพยาธิ 2 ชั่วโมง ควรให้กินยาถ่ายดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 2-3 ช้อนโต๊ะตามไปด้วย เพื่อเร่งการขับพยาธิออกทางลำไส้ ป้องกันการขย้อนเอาไข่ในปล้องแก่ของพยาธิขึ้นมาที่กระเพาะอาหาร

2. ถ้าพบตุ่มขนาดเมล็ดถั่วเขียวอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย หรือมีอาการทางสมอง เช่น อัมพาต ชัก ปวดศีรษะมาก หรือมีอาการทางจิต หรือมีอาการทางตา (เช่น ตาแดง ตามัว) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง ตัดชิ้นเนื้อที่มีตุ่มตรงใต้ผิวหนังไปตรวจหาตัวพยาธิ หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ

ถ้าซิสต์พยาธิมีลักษณะเป็นหินปูน และผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติ ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด แต่ถ้ามีอาการทางสมอง และตรวจพบว่าในเนื้อสมองมีซิสต์พยาธิที่ยังมีชีวิตอยู่ จะให้ยาฆ่าพยาธิพราซิควานเทล หรืออัลเบนดาโซล ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากการใช้ยาจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายรุนแรง และจำเป็นต้องให้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูงร่วมด้วย (ถ้าพบซิสต์พยาธิในตาหรือไขสันหลัง จะไม่ให้ยารักษาเพราะอาจเกิดผลเสียหายมากขึ้น)

นอกจากนี้ยังให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีอาการชัก ก็ให้ยากันชัก

ถ้ามีการอุดกั้นของทางไหลเวียนของน้ำในสมองและไขสันหลัง ทำให้เกิดภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) อาจต้องผ่าตัดสมองเพื่อถ่ายเทเอาน้ำในสมองและไขสันหลังออกมานอกสมอง

ส่วนการผ่าตัดเพื่อนำซิสต์ของพยาธิออกจากสมองนั้นเป็นเรื่องยาก และอาจทำลายถูกเนื้อสมองใกล้เคียง จึงไม่นิยมทำกัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ถ่ายอุจจาระมีปล้องพยาธิคล้ายเส้นบะหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวหลุดออกมาเป็นท่อน ๆ, มีอาการหิวบ่อย กินจุแต่ผอม หรือน้ำหนักลด, มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระบ่อย, หรือมีตุ่มซิสต์ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวกระจายอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิตัวตืด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    มีอาการปวดศีรษะมาก ชัก หรือแขนขาอ่อนแรง
    มีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง
    มีอาการปวดท้องมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. เนื้อหมู เนื้อวัวที่ใช้กินเป็นอาหารควรได้รับการตรวจจากสัตวแพทย์ว่าไม่เป็นเนื้อหมู เนื้อวัวสาคู

2. กินเนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อควายที่ทำให้สุกแล้ว อย่ากินดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ยำ พล่า แหนม เป็นต้น

3. ผักสด ผลไม้ควรล้างให้สะอาดก่อนกิน

4. ควรถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่มิดชิด

5. ล้างมือก่อนกินอาหาร และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง


ข้อแนะนำ

ผู้ที่มีอาการชักแบบลมบ้าหมู อาจเกิดจากพยาธิตืดหมู โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบอาการชักครั้งแรกในคนที่มีอายุมากกว่า 25 ปี หากสงสัยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

5
รู้ไหมว่าจะใช้รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ในจังหวัดขอนแก่น ทำไมต้องจองก่อน?

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังวางแผนขนของ ย้ายบ้าน ย้ายหอ หรือขนสินค้าภายในจังหวัดขอนแก่น หรือขนย้ายไปยังจังหวัดต่างๆ ภายในประเทศไทย แน่นอนว่าการเลือกใช้บริการรถรับจ้างถือเป็นทางเลือกที่สะดวกและคุ้มค่า แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ทำไมต้องจองรถรับจ้างล่วงหน้า แน่นอนว่าคือสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แล้วทำไมถึงต้องจองล่วงหน้า? รถรับจ้างขอนแก่น จะมาบอกว่าทำไม ลองมาดูกันเลย


1. ความสะดวกในการวางแผน

เมื่อคุณจองรถล่วงหน้า รถรับจ้างขอนแก่น จะบอกอย่างนี้นะคะ แน่นอนว่าจะสามารถวางแผนเรื่องเวลา ขนาดรถ และเส้นทางการเดินทางได้ล่วงหน้า ทำให้ไม่ต้องเร่งรีบหรือวุ่นวายจนเกินไปในวันขนของจริง โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วนหรือเรียกว่าฤดูย้ายหอในขอนแก่นค่ะ เช่น ช่วงเปิดภาคเรียน ที่มักจะมีผู้ใช้บริการจำนวนมากค่ะ


2. เลือกประเภทรถที่เหมาะสมได้

ต้องบอกว่ารถรับจ้างที่ใช้ขนย้ายมีหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น รถกระบะรับจ้าง รถหกล้อ หรือรถสิบล้อ ซึ่งเหมาะกับงานขนของที่ต่างกันค่ะ แน่นอนว่าหากคุณจองไว้ก่อน จะมีโอกาสเลือกประเภทของรถที่เหมาะกับของที่ต้องการขนย้ายได้มากกว่าการเรียกแบบเร่งด่วนที่อาจเหลือแต่รถไม่ตรงความต้องการค่ะ


3. ได้ราคาที่คุ้มค่า

สำหรับในเรื่องของราคา สำหรับผู้ใช้บริการ การจองล่วงหน้าทำให้คุณมีเวลาเปรียบเทียบราคาจากหลายเจ้า หรือแม้กระทั่งได้โปรโมชั่นพิเศษจากผู้ให้บริการ ซึ่งต่างจากการเรียกใช้ด่วน ที่อาจต้องจ่ายในราคาสูงกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูงค่ะ


4. มั่นใจเรื่องความน่าเชื่อถือ

ต้องบอกว่าหลายคนมีความกังวลในเรื่องของการจองรถล่วงหน้า ที่ต้องมีการวางมัดจำก่อน แต่ รถรับจ้างขอนแก่น ของเราต้องบอกอย่างนี้นะคะ การมีมัดจำเพื่อยืนยันว่าผู้ใช้บริการต้องการใช้บริการจริงๆ ก่อนการจองคุณมีเวลาเช็กรีวิวหรือสอบถามข้อมูลจากผู้ใช้บริการรายอื่น ทำให้มั่นใจว่าเจ้าของรถหรือคนขับมีความเป็นมืออาชีพ และปลอดภัยในการขนย้ายของค่ะ


5. ป้องกันเหตุการณ์ฉุกเฉิน

เคยไหม? ค่ะ เวลาเรียก บริการรถด่วนรับจ้าง แล้วไม่มีใครว่าง หรือโดนเทกะทันหัน! ถ้าคุณจองล่วงหน้า โอกาสที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นก็จะน้อยลง เพราะคุณมีการยืนยันและตกลงกันไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนค่ะ

สรุปง่ายๆนะคะการจองรถรับจ้างล่วงหน้าในจังหวัดขอนแก่น ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวก แต่ยังช่วยให้คุณได้บริการที่ตรงความต้องการ ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะย้ายบ้าน ขนของ หรือขนสินค้า อย่าลืมจองล่วงหน้าไว้สักหน่อย เพื่อให้วันจริงของคุณราบรื่นไร้ปัญหานะคะ

   
แล้วจะจองรถรับจ้างในขอนแก่นอย่างไรดี?

หากคุณตัดสินใจได้แล้วว่าการจองรถรับจ้างล่วงหน้าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ต่อไปนี้คือเคล็ดลับง่าย ๆ ในการจองรถที่เหมาะสมกับคุณค่ะ

1. เช็กความต้องการของตัวเองก่อน

    ต้องการรถขนาดไหน? (รถกระบะ / หกล้อ / สิบล้อ)
    ขนของจากที่ไหนไปไหน?
    ของมีน้ำหนักหรือมีสิ่งของพิเศษ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ตู้เย็น หรือของแตกหักง่ายหรือไม่?


2. หาข้อมูลผู้ให้บริการในขอนแก่น

ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการรถรับจ้างในขอนแก่นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเล็กที่อยู่ในท้องถิ่น หรือบริษัทใหญ่ที่ให้บริการทั่วภาคอีสาน ลองค้นหาออนไลน์ หรือถามจากคนรู้จักที่เคยใช้บริการ จะช่วยให้คุณได้ผู้ให้บริการที่ไว้ใจได้ แต่ถ้ายังไม่เคยใช้เจ้าไหนจองเปิดใจใช้บริการ รถรับจ้างขอนแก่น ของเรานะคะ


3. เปรียบเทียบราคาและบริการ

อย่าลืมสอบถามราคาจากหลายๆ เจ้า และเปรียบเทียบว่าราคาเหล่านั้นรวมอะไรบ้าง เช่น ค่าแรงยกของ ค่าทางด่วน ค่าน้ำมัน หรือมีบริการพิเศษเพิ่มหรือไม่ ค่อยตัดสินใจใช้บริการนะคะ


4. ยืนยันวัน เวลา และข้อตกลงชัดเจน

หลังจากเลือกผู้ให้บริการแล้ว ควรยืนยันวันและเวลาที่แน่นอน และต้องมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ขนาดรถ รายละเอียดของที่ต้องขน และค่าใช้จ่าย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังค่ะ

   
บริการดี ๆ มีอยู่รอบตัว แค่คุณเลือกให้เป็น

การขนของไม่ใช่แค่มีรถก็พอ แต่ต้องมี บริการที่ดี มีประสบการณ์ และเข้าใจความต้องการของลูกค้า ด้วย หากคุณกำลังมองหารถรับจ้างในจังหวัดขอนแก่น ไม่ว่าจะในตัวเมืองหรืออำเภอรอบนอก เลือกผู้ให้บริการรถรับจ้างอย่าง รถรับจ้างขอนแก่น ที่คุณสามารถจองล่วงหน้าได้ จะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้นและสบายใจกว่าเดิมแน่นอนค่ะ

สรุปอีกครั้งแบบสั้น ๆ

    จองล่วงหน้า = สะดวกกว่า ปลอดภัยกว่า และราคาดีกว่า
    อย่ารอให้วันขนของมาถึงแล้วค่อยหารถ เพราะอาจไม่ทันการณ์
    เลือกบริการที่มีรีวิวดี เชื่อถือได้ และเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง

6
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหารอย่างไรบ้าง

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ของวงการทันตกรรม เป็นการรักษาที่มีการวางแผนการรักษาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้มีผลการรักษาที่มีความแม่นยำ และผู้เข้ารับการรักาสามารถเห็นการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันได้อย่างชัดเจน ด้วยความทันสมัยในการรักษา ทำให้การจัดฟันแบบใสเป็นที่ให้ความสนใจต่อคนทั่วโลก และเป้นการจัดฟันที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะเครื่องมือการจัดฟันที่สามารถถอดออกได้ตามความต้อการของเรา หรือตอนรับประทานอาหารและขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน

จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันไม่ว่าจะจัดฟันในรูปแบบใด ส่วนใหญ่มักจะพบเจอปัญหาขณะรับประทานอาหาร นั่นก็คือ สามารถรับประทานอาหารได้ไม่สะดวก ไม่หลากหลาย เวลาที่จะต้องรับประทานก็จะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความอ่อน นุ่ม หรือเลือกรับประทานอาหารที่เราสามารถรับประทานได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องมือการจัดฟัน ซึ่งหลายคนมีปัญหานี้และมักจะเป็นอุปสรรคที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา การยิ้มแย้ม การรับประทานอาหาร รวมไปถึงเรื่องของบุคลิกภาพ ที่อาจจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจได้ ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันแบบใส ที่หลายคนอาจจะสงสัยถึงผลกระทบต่อการรับประทานอาหารของผู้เข้ารับการจัดฟัน

ต้องอธิบายก่อนว่า การเข้ารับการจัดฟัน แน่นอนว่าหลายคนเกิดความกังวลว่าจะไม่สามารถรับประทานอาหารที่ตัวเองชอบได้อย่างเต็มที่ และถ้าหากจะต้องรับประทานอาหารในขณะะที่มีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก แน่นอนว่าไม่มีใครรู้สึกดี โดยเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหารหลากหลาย หรือที่เราเรียกว่า สายกิน สายเที่ยว ก็อยากมีไลพ์สไตล์ที่อิสระ ซึ่งต้องบอกว่า การจัดฟันแบบใสนั้น เป็นวิธีการรักษาที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะการจัดฟันแบบใส ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย


โดยไม่มีอุปสรรคหรือที่เราเรียกว่า เครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก เพราะเครื่องมือการจัดฟันของเราสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหาร แต่ถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟัน เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน ก็ถือว่าเป้นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาช่องปากและฟันได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผู้เข้ารับการจัดฟัน จะสามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย แต่เราก็ต้องถอดเครื่องมือการจัดฟันออกให้เรียบร้อย เพื่อที่จะไม่ให้เครื่องมือการจัดฟันเกิดความเสียหาย แต่ทั้งนี้ ผู้เข้ารับการจัดฟันก็ต้องสวมใส่เครื่องมือในการจัดฟันแบบใส ตามที่ทันตแพทย์แนะนำด้วย นั่นก็คือ ควรสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสอย่างน้อยวันละ 22 ชั่วโมง เพื่อให้เครื่องมือการจัดฟัน ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามแผนการรักษาที่ทันตแพทย์วางไว้ เพ่อที่จะได้มีผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ

อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบใส ถึงแม้ว่าจะไม่มีผลกระทบมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เราก็ควรที่จะคำนึงถึงความสะอดาให้มากเป็นพิเศษ ควรที่จะแปรงฟันและทำความสะอาดเครื่องมือการจัดฟันให้มีความสะอาดอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้พร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพของเราด้วย ทั้งนี้ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส

สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส รวมไปถึงการรักษาทางทันตกรรมรูปแบบอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม การจัดฟันในเด็ก ซึ่งทางเรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน แต่สำหรับการจัดฟันแบบใส ทางคลินิกเราได้รับการรับรองจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้อย่างมีมาตรฐานสากล ทำให้มีความน่าเชื่อถือ มีความปลอดภัยแก่ผู้เข้ารับการรักษา ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวกันสวยงามได้อย่างแน่นอน

7
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


8
รถขนของไปต่างจังหวัด ขนของที่มีความยาวเกินตัวรถ ต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง?

รู้ไว้ก่อนโดนจับ ปลอดภัยทั้งคนขับและเพื่อนร่วมทาง!

หลายคนอาจเคยเห็นภาพ รถบรรทุกไม้ยาว ท่อเหล็ก หรือของชิ้นใหญ่ที่ยื่นออกมาจากตัวรถแล้วรู้สึกว่าแบบนี้ไม่อันตรายเหรอ? คำตอบคือ ใช่! อันตรายมากถ้าไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย และที่สำคัญยังเสี่ยงต่อการโดนตำรวจเรียก ปรับ หรือแม้แต่เกิดอุบัติเหตุใหญ่ได้เลยค่ะ ดังนั้น หากคุณมีความจำเป็นต้องขนของที่มีความยาวเกินตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นไม้ กระจก ท่อ PVC หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นยักษ์ รถรับจ้างอุดรธานี ขอแนะนำให้คุณรู้และเข้าใจกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนก่อนออกเดินทาง เพราะ ความรู้จะช่วยให้คุณรอดได้ทั้งจากค่าปรับและอันตรายค่ะ

1. ของที่ยื่นเกินด้านท้ายรถ ต้องไม่เกิน 2.50 เมตร!

ตามกฎหมายจราจรของประเทศไทย (ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522) หากมีความจำเป็นต้องใช้ รถบรรทุก บรรทุกของยื่นออกจากตัวรถทางด้านท้าย จะต้องมีข้อจำกัดชัดเจนดังนี้

    ของที่ยื่นออกด้านท้ายรถ ต้อง ไม่เกิน 2.50 เมตร จากจุดสิ้นสุดของตัวรถ
    หาก ยาวเกิน 1 เมตรขึ้นไป ต้องมี ธงแดงขนาดไม่น้อยกว่า 30x30 เซนติเมตร ผูกไว้ที่ปลายของสิ่งของ และต้องมองเห็นได้ชัดเจน
    เวลากลางคืน ต้องมีไฟหรือวัสดุสะท้อนแสงสีแดงติดไว้ที่ปลายของสิ่งของ เพื่อให้ผู้ใช้ถนนคนอื่นเห็นชัดเจน

หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท และอาจถูกสั่งให้หยุดบรรทุกหรือถอดของลง ณ จุดตรวจได้ทันทีค่ะ


2. ห้ามบรรทุกของยื่นออกด้านหน้าเกิน 1 เมตร

แม้ด้านหลังจะยื่นได้ถึง 2.5 เมตร แต่ ด้านหน้าของรถห้ามยื่นเกิน 1 เมตร เด็ดขาด นี่คือคำเตือนจาก รถรับจ้างอุดรธานี เพราะอาจบดบังวิสัยทัศน์ของคนขับและผู้ร่วมทางอย่างรุนแรง ทั้งยังเป็นอันตรายต่อคนเดินถนนเมื่อเลี้ยวรถหรือถอยหลังได้ค่ะ


3. ด้านข้างก็ต้องระวัง! ยื่นได้แต่ต้องไม่กีดขวาง

สิ่งของที่ยื่นออกด้านข้างต้อง ไม่กีดขวางช่องทางเดินรถ หรือกินล้ำไปยังช่องทางอื่น และอีกอย่างที่ รถรับจ้างอุดรธานี ต้องแนะนำนั่นคือ ต้องมีการมัดของ และต้องมั่นใจว่ามีการ มัดให้แน่นมากพอ และไม่หลุดหรือโยกเยกในระหว่างการขนย้าย หากมีความกว้างมากผิดปกติ ควรพิจารณา ใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือ ขออนุญาตจากกรมทางหลวง ก่อนดำเนินการขนย้ายค่ะ


4. เตรียมรถให้พร้อมก่อนขนของ

ก่อนออกเดินทาง อย่าลืมตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้ด้วยนะคะ

    เช็กให้แน่ใจว่าสิ่งของยึดแน่นหนา ไม่หลุดกลางทาง
    ตรวจสอบสายรัด เชือก ต่าง ๆ ว่าอยู่ในสภาพดี
    ใช้ผ้าคลุมหรือพลาสติกคลุมสิ่งของ เพื่อไม่ให้หลุดลุ่ยหรือลอยไปในอากาศ
    ขับรถช้า เพิ่มระยะเบรก และอย่าเปลี่ยนเลนกะทันหัน

5. ขนของเกินขนาดบ่อยๆ ควรขอใบอนุญาตพิเศษ

หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่มีความจำเป็นต้องขนของยาวหรือใหญ่เกินมาตรฐานเป็นประจำ เช่น ท่อเหล็กยาว เครนขนาดใหญ่ หรือเครื่องจักรพิเศษ คุณควรขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษจาก กรมการขนส่งทางบก หรือ กรมทางหลวง โดยจะมีขั้นตอนการขอใบอนุญาต และอาจต้องใช้รถนำขบวนเพื่อความปลอดภัยมากขึ้นด้วยค่ะ

ความประมาทเล็ก ๆ อาจนำไปสู่อุบัติเหตุใหญ่!

แม้การขนของจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่อย่าลืมว่า ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ ทั้งต่อตัวคุณและเพื่อนร่วมถนน รถรับจ้างอุดรธานี ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ทุกการเดินทางราบรื่น ไม่ต้องห่วงหน้า พะวงหลัง และที่สำคัญไม่ต้องเจอตำรวจเรียกกลางทาง เพราะจะทำให้เสียเวลา การขนย้ายช้าลงไปอีกค่ะ


รถรับจ้างอุดรธานี

หากคุณมีความจำเป็นต้องขนของยาว ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ท่อเหล็ก ไม้แผ่น หรือของใช้ขนาดใหญ่แต่ไม่แน่ใจว่าจะขนย้ายอย่างไรให้ถูกกฎหมายและปลอดภัย ขอแนะนำบริการ รถรับจ้างอุดรธานี ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนย้ายทุกประเภท ด้วยประสบการณ์ยาวนาน พร้อมทีมงานมืออาชีพที่รู้หลักการบรรทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการติดธงแดง ติดไฟสะท้อนแสง หรือเลือกใช้รถให้เหมาะสมกับขนาดสิ่งของที่มีให้บริการพร้อมทั้ง รถกระบะรับจ้าง รถสี่ล้อใหญ่รับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง รถสิบล้อ เทรลเลอร์ และรถเฮี๊ยบรับจ้าง เราพร้อมให้บริการทั้งในพื้นที่อุดรธานีและต่างจังหวัด ขนของได้อย่างมั่นใจ สะดวก ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อค่าปรับหรืออุบัติเหตุ ต้องการขนย้ายเมื่อไหร่ ขนส่ง ยินดีให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

9
ซ่อมบำรุงอาคาร: แอร์ไม่เย็น มีแต่ลม แก้ไขอย่างไร

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้ หลายคนต้องอยู่บ้านเวิร์คฟอร์มโฮม ทำให้ต้องอยู่บ้านนานมากขึ้นและแน่นอนว่าบ้านไหนที่มีเครื่องปรับอากาศจะต้องถูกใช้งานบ่อยมากขึ้นด้วย ทำให้ค่าไฟพุ่งสูง ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการทำงานอยู่ที่บ้านนั้น ส่งผลทำให้เราต้องใช้งานเครื่องปรับอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวในแต่ละวัน ทำให้เครื่องปรับอากาศมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก หลายบ้านที่มีเครื่องปรับอากาศใช้ก็ต้องหนักใจกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้าหรือค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของเรา เพราะการทำความสะอาด แอร์ในบ้านของเรานั้นมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือนเพื่อให้แอร์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยังดีต่อสุขภาพของคนภายในบ้านด้วย

แต่ในขณะเดียวกันการใช้เครื่องปรับอากาศบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ เชื่อว่าหลายคนคงเคยพบเจอกับปัญหาแอร์ไม่เย็นและมีแต่ลมออกมา ทำให้รู้สึกหงุดหงิดและเสียค่าใช้จ่ายไปแบบเปล่าประโยชน์ เพราะบางคนแม้ว่าแอร์ไม่เย็นก็ยังฝืนเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งการกระทำแบบนี้จะทำให้แอร์ของเราเสื่อมสภาพหรือมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติและต้องมาเสียค่าใช้จ่ายอีกหลายพันบาทเลยทีเดียว ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงการแก้ไขปัญหาแอร์ไม่เย็นมีแต่ลมออกมา ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของแอร์ในบ้านของเรา ที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน หากฝืนใช้ต่อไปแน่นอนว่าจะทำให้แอร์ของคุณพังอย่างแน่นอน

ปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่แอร์เก่าเท่านั้น บางครั้งแอร์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาติดตั้งแล้วใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง ลมที่ออกมาก็ไม่เย็นฉ่ำได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ควรรีบตรวจสอบ และแก้ไขทันที ในเบื้องต้นเราสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองด้วยวิธีง่าย ๆ คือ การปรับโหมดการทำงานให้ถูกต้อง วิธีนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด และทุกบ้านสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองว่าขณะที่เปิดใช้งานแอร์นั้น เลือกใช้โหมดการทำงานอยู่ในโหมดใด

เพราะบางครั้งการตั้งค่าโหมดการทำงานของแอร์ที่ไม่ถูกต้อง ก็ส่งผลให้เกิดปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม และ แอร์ไม่ตัด ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานของแอร์ผ่านรีโมทคอนโทรล และหนึ่งในสาเหตุของปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม นอกเหนือจาก น้ำยาแอร์ขาด และคอมเพรสเซอร์เสีย ก็คือ แคป ซึ่งเป็นตัวเก็บประจุ เกิดความเสียหาย ลองสังเกตง่าย ๆ ว่าแคปรัน ระเบิด เสียหายหรือไม่นั่น คือ หากจับที่ตัวแคปรันแล้วมีคราบน้ำมัน หรือรู้สึกมัน ๆ ก็ให้แน่ใจได้เลยว่าเป็นเพราะแคปเกิดการเสียหาย และสาเหตุสุดท้ายคือ การไม่ล้างทำความสะอาดแอร์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้แอร์เกิดความเสียหาย

โดยเฉพาะแอร์ไม่เย็นมีแต่ลมร้อน การปล่อยให้แอร์มีคราบฝุ่นเกาะฝังแน่นสะสมในปริมาณมากทั้งภายในตัวเครื่อง และตัวคอมเพรสเซอร์ โดยที่ไม่ได้ล้างแอร์เป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้ระบบทำความเย็นของแอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมลมแอร์ที่ออกมายังไม่บริสุทธิ์ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว โดยเราควรที่จะตรวจสอบคราบฝุ่นละอองสะสม โดยการถอดหน้ากากแอร์ออก

แล้วดูที่แผงฟิลเตอร์ หรือแผ่นกรองอากาศบริเวณด้านหน้าก็จะเห็นคราบฝุ่น และความสกปรกที่เกาะอยู่ สามารถนำแอร์ฟิลเตอร์ไปล้าง ด้วยน้ำสะอาด และใช้แปรงถูเบา ๆ เพื่อขจัดคราบฝุ่นให้หลุดออกไป แล้วตากให้แห้ง ก็จะช่วยลดฝุ่นละอองได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ก็ควรหมั่นล้างแอร์ตามระยะเวลา เพื่อให้มีความสะอาด ยืดอายุการใช้งานของแอร์และดีต่อสุขภาพของคนในบ้านด้วย

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์โดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญ  สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก  เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย

10
หมอประจำบ้าน: ไทฟอยด์/ไข้รากสาดน้อย (Typhoid fever/Enteric fever)

ไทฟอยด์ (ไข้ไทฟอยด์ ไข้เอนเทอริก ไข้รากสาดน้อย ก็เรียก) พบได้บ่อยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่า ไข้หัวโกร๋น เพราะสมัยนั้นยังไม่มียารักษา เป็นไข้กันเป็นเดือนจนกระทั่งผมร่วง

พบได้ในทุกอายุ แต่จะพบมากในคนอายุ 10-30 ปี อาจพบว่ามีคนในละแวกใกล้เคียงเคยเป็นหรือกำลังเป็นโรคนี้ด้วย พบมากในฤดูร้อน แต่ก็พบได้ตลอดทั้งปี

บางครั้งอาจพบระบาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท้องถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี

ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไทฟอยด์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ซัลโมเนลลาไทฟิ (Salmonella typhi)

โรคนี้สามารถติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระหรือปัสสาวะของผู้ป่วยหรือพาหะ หรือปนเปื้อนเชื้อจากแมลงวันตอม

นอกจากนี้ ยังสามารถติดต่อโดยทางเพศสัมพันธ์ที่มีการใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาตที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระในบริเวณทวารหนัก (ซึ่งพบในหมู่ชายรักร่วมเพศ)

เชื้อจะรุกล้ำเข้าไปในเยื่อบุลำไส้เล็กอาศัยอยู่ในกลุ่มเซลล์น้ำเหลือง (Peyer's patch) ทำให้ลำไส้อักเสบหรือเป็นแผล ขณะเดียวกันก็แพร่เข้าตับ ทางเดินน้ำดี และเข้าสู่กระแสเลือดแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด หัวใจ ไต สมอง กระดูก ไขกระดูก เป็นต้น

ระยะฟักตัว ประมาณ 14 วัน (7-21 วัน)

อาการ

ลักษณะโดดเด่น คือ มีไข้สูงลอยแบบเรื้อรัง

อาการจะค่อยเป็นค่อยไป โดยแรกเริ่มจะมีอาการไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย คล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีน้ำมูก อาจมีเลือดกำเดาออก บางครั้งอาจมีอาการไอแห้ง ๆ และเจ็บคอเล็กน้อย

มักมีอาการท้องผูก (มักพบในผู้ใหญ่) หรือไม่ก็ถ่ายเหลว (มักพบในเด็ก) ร่วมด้วย

อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดแน่นท้อง ท้องอืด และกดเจ็บเล็กน้อย

ต่อมาไข้จะค่อย ๆ สูงขึ้นทุกวัน และจับไข้ตลอดเวลา ถึงแม้จะกินยาลดไข้ก็อาจไม่ลด ทุกครั้งที่จับไข้จะรู้สึกปวดศีรษะมาก

อาการไข้มักจะเรื้อรัง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจมีไข้สูงอยู่นาน 3 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ลดลงจนเป็นปกติเมื่อพ้น 4 สัปดาห์ บางรายอาจเป็นไข้อยู่นาน 6 สัปดาห์ก็ได้

บางรายอาจมีอาการหนาวสะท้านเป็นพัก ๆ เพ้อ หรือปวดท้องรุนแรงคล้ายไส้ติ่งอักเสบ หรือถุงน้ำดีอักเสบ

ผู้ป่วยจะซึมและเบื่ออาหารมาก ถ้ามีอาการมากกว่า 5 วันผู้ป่วยจะดูหน้าซีดเซียว แต่เปลือกตาไม่ซีด (เหมือนอย่างผู้ป่วยโลหิตจาง) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคที่เรียกว่า หน้าไทฟอยด์


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่พบบ่อยและเป็นอันตราย ได้แก่ เลือดออกในลำไส้ (ถ่ายเป็นเลือดสด ๆ อาจถึงช็อกได้) และลำไส้ทะลุ (ท้องอืด ท้องแข็ง) ซึ่งจะพบหลังมีอาการได้ 2-3 สัปดาห์

นอกจากนี้ ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดอักเสบ โลหิตเป็นพิษ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ไตอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน กระดูกอักเสบเป็นหนอง (osteomyelitis) โรคจิต (psychosis)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย โดยมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในระยะแรกอาจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจนนอกจากไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส หน้าซีดเซียว (แต่เปลือกตาไม่ซีด) ฝ่ามือซีด ริมฝีปากแห้ง บางรายอาจพบอัตราชีพจรไม่สัมพันธ์กับไข้ที่ขึ้นสูง (relative bradycardia) บางรายอาจมีอาการท้องอืด กดเจ็บใต้ชายโครงขวาหรือท้องน้อยข้างขวา อาจพบจุดแดงคล้ายยุงกัด เมื่อดึงหนังให้ตึงจะจางหาย เรียกว่า โรสสปอต (rose spots) ที่หน้าอกหรือหน้าท้อง ซึ่งมักจะขึ้นหลังมีไข้ได้ 5 วัน และอยู่นาน 3-4 วัน

ระยะต่อมาอาจพบม้ามโต ตับโต และบางรายอาจมีอาการดีซ่าน หรือโลหิตจาง (ถ้าเป็นเรื้อรัง)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ทำการทดสอบไวดาล (Widal test) ตรวจนับจำนวนเม็ดเลือดขาว (มักต่ำกว่า 5‚000 ตัว/ลบ.มม.) นำเลือด อุจจาระ และปัสสาวะไปเพาะหาเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

1. แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มน้ำมาก ๆ นอนพัก ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อลดไข้บ่อย ๆ และให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล

2. ให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายชนิด เช่น ไซโพรฟล็อกซาซิน, โอฟล็อกซาซิน, อะม็อกซีซิลลิน, คลอแรมเฟนิคอล, โคไตรม็อกซาโซล เป็นต้น นาน 5-21 วัน ขึ้นกับชนิดของยา

โดยทั่วไปหลังให้ยา 4-7 วัน อาการไข้จะเริ่มลง ถ้าไข้ไม่ลง หรือมีปัญหาเชื้อดื้อยา แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการเพาะเชื้อ และให้ยากลุ่มใหม่ (เช่น อะซิโทรไมซิน, เซฟิไซม์, เซฟทริอะโซน)

3. ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก ท้องเดินรุนแรง ท้องอืด เบื่ออาหาร หรือมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ และแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ (เช่น ให้เลือดถ้ามีเลือดออกในลำไส้)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายเป็นปกติภายใน 2-3 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจมีอาการกำเริบใหม่ ซึ่งเมื่อให้ยารักษาอีกรอบก็มักจะหายขาดได้ แต่ถ้าปล่อยไว้จนได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงตลอดเวลาทุกวันเกิน 4-7 วัน หรือมีไข้สูงในผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไทฟอยด์ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไทฟอยด์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. กินยาปฏิชีวนะตามขนาดและครบระยะเวลาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

3. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ปวดศีรษะมาก ซึม หรือไม่ค่อยรู้สึกตัว
    ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
    ปวดท้องรุนแรง เจ็บหน้าอกมาก หรือหายใจหอบ
    เบื่ออาหาร ดื่มน้ำได้น้อย หรืออาเจียน 
    ตาเหลืองตัวเหลือง หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว 
    ปวดข้อ ข้ออักเสบ
    กินยาที่แพทย์แนะนำ 4-5 วันแล้วไม่ดีขึ้น หรือหลังจากไข้หายดีแล้วกลับมีไข้กำเริบใหม่
    หลังกินยามีผื่นคัน ตุ่มพุพอง ปากบวม ตาบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ซีด จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีความผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

1. ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันโรคบิดชิเกลลา 

2. สำหรับผู้ป่วยควรแยกสำรับอาหารและเครื่องใช้ส่วนตัว อย่าปะปนกับผู้อื่น อุจจาระควรถ่ายลงในส้วม และควรล้างมือให้สะอาดหลังถ่ายอุจจาระ

3. ควรตรวจเชื้อในอุจจาระของผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหารในร้านอาหารและภัตตาคาร (เช่น คนครัว บริกร เป็นต้น) เป็นครั้งคราว เพื่อค้นหาผู้ที่เป็นพาหะของโรคนี้ที่อาจแพร่เชื้อให้ผู้บริโภคได้ ถ้าพบควรงดประกอบอาหารจนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อในอุจจาระ

4. การป้องกันด้วยวัคซีน ไม่แนะนำให้ใช้กับคนทั่วไป ควรใช้กับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศหรือถิ่นที่มีการระบาดของโรคนี้ และผู้ที่อยู่ร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไทฟอยด์

ปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนป้องกันไทฟอยด์ทั้งชนิดกินและชนิดฉีดที่มีผลข้างเคียงน้อย

วัคซีนชนิดกินมีทั้งแบบแคปซูล (ใช้สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป) และแบบน้ำ (สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป) ให้กินครั้งละ 1 แคปซูล หรือ 1 ซอง วันเว้นวัน จำนวน 3 ครั้ง โดยกินร่วมกับน้ำเย็น (ห้ามใช้น้ำร้อน) ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง ควรงดการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างน้อยก่อนกินวัคซีนครั้งแรก และ 7 วันหลังกินวัคซีนครั้งสุดท้าย เนื่องจากวัคซีนชนิดกินเป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อเป็นแต่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง (live-attenuated) อาจถูกยาต้านจุลชีพทำลายได้

วัคซีนชนิดกิน หากจำเป็นสามารถกระตุ้นได้ทุก 5 ปี

ส่วนวัคซีนชนิดฉีดสามารถฉีดเข้ากล้ามหรือใต้ผิวหนังให้เด็กตั้งแต่อายุ 2 ปี ขนาด 0.5 มล. ครั้งเดียว หากจำเป็นสามารถกระตุ้นได้ทุก 2 ปี

ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันพบปัญหาเชื้อดื้อยาบ่อย โดยเฉพาะอย่างยาที่เคยใช้แต่เก่าก่อน (คลอแรมเฟนิคอล อะม็อกซีซิลลิน โคไตรม็อกซาโซล) แม้ยาไซโพรฟล็อกซาซินและโอฟล็อกซาซิน ก็เริ่มมีปัญหาเชื้อดื้อยา ในการรักษาแพทย์อาจจำเป็นต้องทำการเพาะเชื้อและตรวจว่ายาชนิดใดที่ยังไวต่อเชื้อ แล้วเลือกใช้ยานั้นรักษา

2. การกลับเป็นซ้ำ บางรายแม้ว่าจะรักษาจนไข้หายแล้ว อาจมีไข้กำเริบได้ใหม่หลังจากหยุดยาไปประมาณ 2 สัปดาห์ แต่อาการไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก ควรให้ยารักษาซ้ำอีกครั้ง

3. ผู้ป่วยบางรายเมื่อหายแล้วอาจมีเชื้อไทฟอยด์หลบซ่อนอยู่ในถุงน้ำดี โดยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด เรียกว่า พาหะ (carrier) ของไข้ไทฟอยด์ ซึ่งมักปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระ แพร่กระจายให้ผู้อื่นต่อไปเรื่อย ๆ แพทย์สามารถตรวจพบโดยการนำอุจจาระไปเพาะเชื้อ และอาจให้การรักษาโดยให้โคไตรม็อกซาโซล หรืออะม็อกซีซิลลิน นาน 3 เดือน หรือไซโพรฟล็อกซาซิน นาน 1 เดือน ถ้ายังพบเชื้อในอุจจาระอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีออก

4. อาการไข้สูงหรือมีไข้นานเกิน 7 วัน นอกจากไทฟอยด์แล้วยังต้องคิดถึงโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย ไข้เลือดออก สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส เมลิออยโดซิส บรูเซลโลซิส เป็นต้น จึงควรซักประวัติและตรวจร่างกายให้ละเอียด (ตรวจอาการไข้)

11
งานฝีมือ ดอกไม้แห้งมาจัดเรียงเป็นภาพ

งานฝีมือการนำดอกไม้แห้งมาจัดเรียงเป็นภาพเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และได้ผลงานที่มีเอกลักษณ์สวยงาม สามารถนำไปตกแต่งบ้าน หรือมอบเป็นของขวัญได้ค่ะ นี่คือไอเดียและขั้นตอนในการทำ:

1. การเตรียมวัสดุและอุปกรณ์:

ดอกไม้และใบไม้แห้ง:

ดอกไม้ที่เหมาะสม: ดอกไม้ที่มีกลีบไม่หนามากและทนทานต่อการแห้ง เช่น ดอกสแตติส, ดอกยิปโซฟิลลา, ดอกสุ่ย, ดอกกระดาษ, ดอกดาวกระจายแห้ง, ดอกลาเวนเดอร์, กลีบกุหลาบแห้ง, ใบเฟิร์นแห้ง, ใบยูคาลิปตัสแห้ง เป็นต้น

การเตรียมดอกไม้แห้ง: หากคุณไม่ได้ซื้อดอกไม้แห้งสำเร็จรูป สามารถทำเองได้โดยวิธีต่างๆ เช่น การแขวนผึ่งลม, การกดทับในหนังสือ, หรือการใช้ซิลิกาเจล (วิธีนี้รักษาสีได้ดีที่สุด)

พื้นรองรับ:

กระดาษ: กระดาษวาดเขียนหนาๆ, กระดาษการ์ด, กระดาษสา, กระดาษทำมือ

ผ้า: ผ้าแคนวาส, ผ้ากระสอบ, ผ้าสักหลาด

ไม้: แผ่นไม้บางๆ, กรอบรูปที่มีพื้นไม้

กาว:

กาวลาเท็กซ์ (กาวขาว): ใช้งานง่าย แห้งแล้วใส แต่ต้องรอแห้งสนิท

กาวร้อน: ติดแน่นและแห้งเร็ว แต่ต้องระวังความร้อน

กาวแท่งสำหรับปืนกาว: ใช้งานสะดวก ติดแน่น

กาวสำหรับงานฝีมือ (Craft Glue): มีหลายชนิด เลือกให้เหมาะสมกับวัสดุ

อุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม (ตามชอบ):

กิ่งไม้แห้งเล็กๆ, เปลือกไม้บางๆ, เมล็ดพืชแห้ง

สีอะคริลิคสำหรับตกแต่งพื้นรองรับ

ปากกาเมจิก หรือปากกาเขียนขอบ

สเปรย์เคลือบเงา (สำหรับเคลือบหลังจากจัดเรียงเสร็จ เพื่อป้องกันความชื้นและแมลง)

เครื่องมือ:

กรรไกรขนาดเล็ก หรือคัตเตอร์

แหนบ (ช่วยในการหยิบและจัดวางดอกไม้เล็กๆ)

พู่กัน (สำหรับทากาว)


2. ขั้นตอนการทำ:

วางแผนและร่างแบบ (ถ้าต้องการ):

คิดว่าต้องการจัดเรียงดอกไม้ออกมาเป็นภาพอะไร เช่น ทิวทัศน์, ดอกไม้ช่อ, รูปสัตว์, หรือลวดลายนามธรรม

หากต้องการความแม่นยำ อาจร่างแบบคร่าวๆ ลงบนพื้นรองรับด้วยดินสอ

เลือกและจัดเตรียมดอกไม้แห้ง:

เลือกดอกไม้และใบไม้แห้งที่มีสีสันและรูปทรงที่ต้องการ

อาจต้องตัดแต่งก้านหรือกลีบดอกให้มีขนาดเหมาะสมกับภาพที่ต้องการ

ลองวางดอกไม้บนพื้นรองรับตามแบบที่คุณคิดไว้ก่อนติดกาวจริง เพื่อดูองค์ประกอบและความสวยงาม

ติดกาวดอกไม้:

ทากาวลงบนด้านหลังของดอกไม้หรือใบไม้แห้งทีละชิ้น

ใช้แหนบค่อยๆ วางดอกไม้ลงบนพื้นรองรับตามตำแหน่งที่ต้องการ

กดเบาๆ ให้กาวติดสนิท ระวังอย่าให้ดอกไม้ช้ำหรือแตกหัก

ทำซ้ำจนได้ภาพตามที่ต้องการ

ตกแต่งเพิ่มเติม (ตามชอบ):

เพิ่มกิ่งไม้ เปลือกไม้ หรือวัสดุธรรมชาติอื่นๆ เพื่อให้ภาพดูมีมิติและน่าสนใจยิ่งขึ้น

ใช้สีอะคริลิค หรือปากกาตกแต่งพื้นรองรับให้เข้ากับภาพดอกไม้

รอให้กาวแห้งสนิท: ปล่อยให้กาวแห้งสนิท โดยวางผลงานไว้ในที่ราบและไม่มีสิ่งใดมากดทับ

เคลือบเงา (ถ้าต้องการ):

เมื่อกาวแห้งสนิทแล้ว สามารถฉีดสเปรย์เคลือบเงาบางๆ ให้ทั่วภาพ เพื่อป้องกันความชื้น ฝุ่นละออง และช่วยให้สีของดอกไม้คงทนมากขึ้น (ควรทำในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเท)

รอให้สเปรย์แห้งสนิทก่อนนำไปใช้งานหรือตกแต่ง


3. ไอเดียการจัดเรียงดอกไม้แห้งเป็นภาพ:

ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ: จัดเรียงดอกไม้และใบไม้เป็นรูปต้นไม้ ทุ่งหญ้า ภูเขา หรือทะเล

ภาพดอกไม้ช่อ: จัดเรียงดอกไม้ให้ดูเหมือนช่อดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน อาจเพิ่มริบบิ้นแห้ง หรือวัสดุคล้ายเชือกผูก

ภาพสัตว์: ใช้ดอกไม้และใบไม้สร้างรูปทรงของสัตว์ต่างๆ เช่น นก ผีเสื้อ แมว

ภาพลวดลาย: จัดเรียงดอกไม้เป็นลวดลายซ้ำๆ หรือลวดลายอิสระที่สวยงาม

ตัวอักษรหรือคำ: ใช้ดอกไม้ขนาดเล็กเรียงเป็นตัวอักษร หรือคำที่มีความหมายดีๆ

กรอบรูปดอกไม้: ตกแต่งขอบกรอบรูปด้วยดอกไม้แห้ง

ภาพนามธรรม: จัดเรียงดอกไม้และใบไม้ตามความรู้สึกและจินตนาการ สร้างสรรค์ผลงานที่ไม่ซ้ำใคร

การ์ดดอกไม้แห้ง: ติดดอกไม้แห้งขนาดเล็กบนการ์ดอวยพร


เคล็ดลับ:

ควรเลือกดอกไม้แห้งที่มีสีสันและรูปทรงที่หลากหลาย เพื่อให้ภาพดูมีมิติและน่าสนใจ

หากดอกไม้แห้งเปราะบางมาก สามารถพ่นสเปรย์เคลือบผมแบบอ่อนๆ บางๆ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงก่อนนำมาจัดเรียงได้

จัดเรียงดอกไม้โดยเริ่มจากดอกไม้ขนาดใหญ่ก่อน แล้วค่อยๆ เติมดอกไม้ขนาดเล็กและใบไม้ในส่วนที่เหลือ

ใช้แหนบช่วยในการจัดวางดอกไม้ขนาดเล็ก เพื่อความแม่นยำและป้องกันไม่ให้มือไปสัมผัสโดนดอกไม้มากเกินไป

เก็บรักษาผลงานที่เสร็จแล้วในที่แห้งและหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง เพื่อป้องกันสีซีดจางและความชื้น

ลองนำไอเดียเหล่านี้ไปปรับใช้และสร้างสรรค์ผลงานดอกไม้แห้งจัดเรียงเป็นภาพที่สวยงามในสไตล์ของคุณเองนะคะ!

12
ตรวจสุขภาพ: ครรภ์เป็นพิษ/โรคพิษแห่งครรภ์ (Toxemia of pregnancy)

ครรภ์เป็นพิษ (โรคพิษแห่งครรภ์ ก็เรียก) หมายถึง ภาวะผิดปกติที่พบในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งประกอบด้วยอาการ 3 ประการร่วมกัน ได้แก่ อาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะ

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของหญิงตั้งครรภ์ มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือนขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์

ครรภ์เป็นพิษยังแบ่งเป็น โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชัก (preeclampsia) ซึ่งมีเพียงอาการบวม ความดันโลหิตสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะ ไม่มีอาการชักหรือหมดสติ กับโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) ซึ่งจะมีอาการชักหรือหมดสติ อาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 5 ของโรคครรภ์แห่งพิษระยะก่อนชักอาจกลายเป็นโรคครรภ์แห่งพิษระยะชัก

หลังจากคลอดแล้วอาการของครรภ์เป็นพิษจะค่อย ๆ หายไปได้เอง

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับความผิดปกติของรกซึ่งมีเลือดไปเลี้ยงได้น้อยกว่าปกติ อันอาจเนื่องมาจากมีเลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อย หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกมีความผิดปกติ มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

มักพบในหญิงตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหรืออายุมากกว่า 40 ปี คนที่อ้วน ครรภ์แรก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก หญิงที่เคยเป็นครรภ์เป็นพิษมาก่อน หรือมีประวัติว่ามารดาหรือพี่สาวน้องสาวเป็นครรภ์เป็นพิษ และในผู้หญิงที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ เป็นต้น)

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดตรงใต้ลิ้นปี่ บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า

ในรายที่เป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชักในระยะรุนแรง จะพบความดันโลหิตสูงเกิน 160/110 มม.ปรอท อาจมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เอนไซม์ตับขึ้นสูงและภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (เลือดออกง่าย มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง) อาจมีอาการปวดตรงลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวารุนแรง เนื่องจากมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มตับ อาจมีอาการหายใจหอบ (เพราะปอดบวมน้ำ) ปัสสาวะออกน้อย (เพราะไตวายเฉียบพลัน)

ในรายที่เป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก จะมีอาการชักหรือหมดสติ ซึ่งอาจเกิดก่อนคลอด ขณะคลอด หรือภายใน 1 สัปดาห์หลังคลอด


ภาวะแทรกซ้อน

อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ของหญิงที่เป็นครรภ์เป็นพิษ เช่น ตามัว สายตาเลือนลาง (เนื่องจากความผิดปกติของจอประสาทตาหรือศูนย์การเห็นที่สมองส่วนท้ายทอย) ตับวาย ไตวาย ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เซลล์สมองตายเนื่องจากสมองขาดเลือด เลือดออกในสมอง มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาในอนาคต

อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า "HELLP syndrome" ซึ่งประกอบด้วยภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (H - hemolysis) เอนไซม์ตับสูง (EL - elevated liver enzymes) และเกล็ดเลือดต่ำ (LP - low platelet count) ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรง มีอันตรายต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์

ในรายที่ครรภ์เป็นพิษชนิดร้ายแรงหรือโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) มีอัตราตายถึงร้อยละ 10-15


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ความดันโลหิตช่วงบน (ซิสโตลี) ≥ 140 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง (ไดแอสโตลี) ≥ 90 มม.ปรอท (ถ้าช่วงบน ≥ 160 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง ≥ 110 มม.ปรอท ก็ถือว่ารุนแรง)

เท้าบวม กดมีรอยบุ๋ม

อาจตรวจพบภาวะซีด จ้ำเขียว เลือดออก

นอกจากนี้ ยังอาจตรวจพบรีเฟล็กซ์ของข้อไว (hyperreflexia) หรือภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ซึ่งใช้เครื่องฟังปอดจะได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว (albumin) ซึ่งถ้ายิ่งมีมาก (ขนาด 3+ หรือ 4+) ก็ถือว่ายิ่งรุนแรง

นอกจากนี้อาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเลือดพบเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สารบียูเอ็นรวมทั้งครีอะตินีนขึ้นสูง และเกล็ดเลือดต่ำ การตรวจอัลตราซาวนด์ดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่เป็นไม่มาก ไม่จำเป็นต้องพักในโรงพยาบาล แนะนำให้นอนพักที่บ้านให้เต็มที่ทั้งวัน (การนอนพักจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังสมอง หัวใจ ตับ ไต และรกได้ดี อาการของโรคอาจทุเลาได้) และนัดผู้ป่วยมาตรวจสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทุก ๆ 2 วัน หรือส่งพยาบาลไปเยี่ยมบ้าน เพื่อประเมินอาการทุกวัน

ถ้าไม่ดีขึ้น หรือความดันช่วงบน ≥ 140 หรือช่วงล่าง ≥ 90 มม.ปรอท หรือมีปัญหาไม่สามารถติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนอนพักให้เต็มที่ ทำการตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจรีเฟล็กซ์ของข้อ ตรวจดูสารไข่ขาวในปัสสาวะ และฟังเสียงหัวใจทารกบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังต้องตรวจเลือด (ดูจำนวนเกล็ดเลือด อิเล็กโทรไลต์ บียูเอ็น ครีอะตินีน เอนไซม์ตับ) ทุก 1-2 วัน

ถ้าพบว่ามีความดัน ≥ 160/110 มม.ปรอท จะให้ยาลดความดัน เช่น ไฮดราลาซีน (hydralazine) 5-10 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ควรควบคุมให้ความดันช่วงล่างอยู่ระหว่าง 90-100 มม.ปรอท (ถ้าลดต่ำกว่านี้อาจทำให้รกขาดเลือดไปเลี้ยงได้) ห้ามให้ยาลดความดันกลุ่มยาต้านเอช เพราะอาจทำให้ทารกพิการและมารดาไตวายได้ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงรกได้ไม่ดี (ยกเว้นในรายที่มีปัสสาวะออกน้อยเนื่องจากไตวาย อาจให้ฟูโรซีไมด์)

ถ้าเป็นมาก อาจฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต (magnesium sulfate) เพื่อป้องกันอาการชักและช่วยลดความดัน

เมื่อครรภ์ใกล้กำหนดคลอด (มากกว่า 34 สัปดาห์) ควรหาวิธีทำให้เด็กคลอด โดยการใช้ยากระตุ้น หากไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง

2. หากมีอาการชัก แพทย์จะฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต หรือไดอะซีแพมควบคุมอาการชัก และรีบทำการคลอดเด็ก หลังคลอดอาจต้องให้ยาป้องกันชักต่อไปอีก 1-7 วัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น หญิงที่ตั้งครรภ์มีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคครรภ์เป็นพิษ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    บริโภคอาหารพวกโปรตีนให้มาก
    ลดการบริโภคเกลือและอาหารเค็ม
    ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8  แก้ว       


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดท้องมาก อาเจียนมาก หายใจหอบ ดีซ่าน ซีด จ้ำเขียว เลือดออกจากช่องคลอดหรือที่อื่น ๆ บวม ปัสสาวะออกน้อย หรือชัก 
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

สำหรับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นครรภ์เป็นพิษมาก่อน ก่อนตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน รักษาโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) ให้ได้ผล

เมื่อตั้งครรภ์ ควรรีบฝากครรภ์ แพทย์จะสามารถตรวจพบอาการครรภ์เป็นพิษและให้การดูแลรักษาตั้งแต่แรก ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนลงได้

ข้อแนะนำ

โรคนี้สามารถให้การดูแลรักษาให้ปลอดภัยได้ทั้งมารดาและเด็กในครรภ์ ถ้ามีการตรวจพบตั้งแต่เริ่มเป็น ดังนั้นจึงควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ หมั่นชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิตและตรวจปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรแนะนำไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล

13
จัดฟันบางนา: ค่าใช้จ่าย ในการ จัดฟันแบบใส ที่แตกต่างกัน !

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นการจัดฟันที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการรักษา ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นผลการรักษาได้ก่อนเข้ารับการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันแบบใส invisalign นั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งจะมีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดยดูจากสภาพฟันของผู้เข้ารับการรักษา และดุลยพินิจของทันตแพทย์ว่า ผู้เข้ารับการรักษาเหมาะกับการจัดฟันแบบใสในรูปแบบใด

เรามีดูราคาการจัดฟันแบบใส invisalign i7 ซึ่งเป็นการจัดฟันที่เหมาะกับกรณีที่มีปัญหาฟันเพียงเล็กน้อย เคยผ่านการจัดฟันมาแล้ว จะใช้เครื่องมือ 7 ชิ้น โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 70,000 บาท ต่อมา invisalign lite การจัดฟันแบบนี้เหมาะกันคนที่ มีปัญหาฟันที่ไม่เยอะมาก อาจจะเกิดฟันซ้อนเก หรือฟันห่าง โดยจะใช้เครื่องมือ 8-14 ชิ้น ซึ่งจะมีราคาเริ่มต้นที่ 100,000 บาท

ส่วนรูปแบบสุดท้ายคือการจัดฟันแบบใส invisalign full เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันที่ค่อนข้างมาก ก็จะมีราคาที่สูงกว่าการจัดฟันแบบใส invisalign รูปแบบอื่น โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 150,000 -180,000 บาทเลย และการจัดฟันแบบใส invisalign full สามารถแก้ปัญหาฟันได้ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นฟันห่าง ฟันซ้อนเก หรือฟันล้ม ซึ่งจะใช้เวลาในการรักษา 7 เดือนขึ้นไปนั่นเอง ทั้งนี้ผู้ที่เข้ารับการรักษาสามารถเข้าติดต่อ หรือขอคำแนะนำได้ที่คลีนิคเพื่อทราบค่าใช้จ่ายในการรักษาได้


ขั้นตอนการจัดฟันแบบใส invisalign !

กาจัดฟันแบบใส ถือเป็นการจัดฟันในอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษา ซึ่งถือว่าได้รับการยอมรัยจากทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ทางคลีนคิกก็มีทีมทันตแพทย์ ที่ได้รับการรองรับให้ทำการ จัดฟันแบบใส invisalign โดยการจัดฟันแบบใสนี้มีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน โดยเริ่มจากการปรึกษาจากทันตแพทย์ เพื่อประเมินช่องปากในเบื้องต้น พิมพ์ฟันและ Scan เพื่อวางแผนการรักษา

หลังจากนั้นทันตแพทย์จะทำการสร้างแผนการรักษาด้วยระบบ 3D เพื่อแสดงการเคลื่อนตัวของรากฟันและตัวฟัน หลังจากนั้นจะมีการออกแบบเครื่องมือการจัดฟันแบบใส โดยผลิตจากอเมริกา เมื่อได้รับเครื่องมือแล้ว ทันตแพทย์จะส่งมอบเครื่องมือให้แก่ผู้ที่จัดฟัน โดยเครื่องมือนี้ ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันจะต้องสวมใส่เป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวัลนะ 20-22 ชั่วโมง และจะมีการเปลี่ยนเครื่องมือทุกๆ 2 สัปดาห์โยประมาณ

หลังจากนั้นทันตแพทย์จะทำการนัดให้ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันทุกๆ 6-8 สัปดาห์ เพื่อตรวจช่องปากและติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมอบเครื่องมือการจัดฟันแบบใส invisalign ชุดต่อไป หลังจากการจัดฟันเสร็จสิ้นแล้ว ผู้จัดฟันจะต้องใส่รีเทนเนอร์เพื่อรักษารูปของฟันเอาไว้ ไม่ให้เลื่อนหรือเปลี่ยนไปจากเดิม เพื่อผลการรักษาที่ดี หากสนใจจะเข้ารับการจัดฟันแบบใส invisalign สามารถเข้ารับคำแนะนำจากทางคลีนิคได้ ทางเรายินดีให้บริการ

14
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


15
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


หน้า: [1] 2 3 ... 38